หลงๆลืมๆ

 

คนมักจะคิดว่า อาการ"หลงๆลืมๆ"เป็นของคนสูงวัยซะส่วนใหญ่

ผมว่าเราน่าจะลองคิดใหม่…

 

 

.


.


.

 

นาฬิกาปลุกรูปตุ๊กตาบนหัวเตียงส่งเสียงเป็นภาษาเกาหลีน่ารักๆ

แสงแดดอ่อนๆลอดผ่านม่านสีชมพูในยามเช้า

ฝาผนังที่เคยมีรอยดินสอสี วันนี้เต็มไปด้วยโปสเตอร์รูปภาพของผู้ชายกลุ่มนึง

 

เด็กหญิง..

ไม่ใช่สิ เธอเรียกตัวเองว่าเป็น หญิงสาว

 

หญิงสาว..ในชุดนอนลายการ์ตูนสีหวานค่อยๆลืมตาตื่นขึ้น แล้วเอื้อมมือไปกดหัวตุ๊กตาที่หัวเตียง เพื่อให้มันหยุดส่งเสียงภาษาเกาหลีนั้น 

วันนี้เป็นวันที่เํธอรอคอย.. วันที่เธอจะได้เจอพวกเขาเหล่านั้น 

..ชายในโปสเตอร์ใบใหญ่ที่เธอติดไว้เต็มฝาผนัง 

 

เธอยืนมองตาพวกเขา(ในโปสเตอร์)แล้วคิดถึงภาพเก่าๆ เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน 

เธอตื่นนอนตั้งแต่ตีสอง ออกจากบ้านตั้งแต่ยังไม่ตีสาม ไปต่อแถวยาวสุดลูกหูลูกตา ไขว่คว้าซื้อกระดาษใบเล็กๆใบนึง

ด้วยเงินที่เํธอทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา แลกกับกระดาษใบเล็กๆใบนั้น

 

"เดี๋ยวเจอกันนะ" เธอพูดพร้อมจุมพิตลงบนแก้มซ้ายของชายคนหนึ่ง(ในโปสเตอร์)

 

.

.

 

 

"ไปไหนน่ะลูก" คำถามจากหญิงชรานั้นดังขึ้น  

หญิงสาวหันมามองหญิงชราเจ้าของเสียงด้วยท่าทีไม่ค่อยพอใจในคำถาม

"ไปดูคอนเสิร์ตนะแม่" หญิงสาวตอบห้วนๆ

 

หญิงชรา : "อ้าว แล้วเย็นนี้แม่เตรียมทำกับข้าวไว้ พ่อก็จะกลับมากินด้วยน่ะ"  

หญิงสาว : "โอ๊ย ไม่ได้หรอกแม่ กว่าคอนเสิร์ตจะเลิกก็ดึก แล้วหนูว่า คืนนี้หนูจะไปค้างที่โรงแรมน่ะ" 

หญิงชรา : "แล้วจะไปนอนโรงแรมทำไม? บ้านช่องก็มี"

หญิงสาว : "ก็หนูจะตามไปเฝ้าพวกเขาน่ะ"

หญิงชรา : "แต่แม่บอกเราแล้วนะว่า วันนี้จะกินข้าวเย็นด้วยกัน" 

หญิงสาว : "หนูลืม.. หนูไปแล้วนะ"

..เธอหันมาตัดบท แล้วสะบัดหน้าเดินจากไป 

 

 

 

 

 

 

หญิงชรานิ่งไป..

 

..และทำได้เพียงมองหญิงสาวจากด้านหลังผ่านม่านน้ำตา

 

 

 

 

 

.

.

.

 

 

แล้วคุณยังคิดว่า อาการ"หลง"และ"ลืม"เป็นของคนสูงวัยอีกหรือเปล่า ???

 

 

มองนักล่าฝัน แล้วหันมาดูตัว

 

ช่วงนี้ เวลาที่ผมอยู่บ้าน(ซึ่งค่อนข้างน้อย)
ผมมักจะนั่งอยู่หน้าทีวี และติดตามรายการอยู่รายการนึง ..รายการนั้นชื่อ
"True Academy Fantasia#6"ครับ

 

ด้วยความที่ไม่ค่อยจะได้ติดตามรายการในซีซั่นก่อนๆเท่าไหร่
ทำให้ผมเองก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรู้ราวอะไรใน Academy Fantasia มากมาย
รวมไปถึงธรรมเนียม ประเพณี
หรืออะไรก็ตามที่แฟนคลับที่ติดตามกันทุกซีซั่นเขามักจะรู้กัน เอาเป็นว่า
ผมขออนุญาตเขียนจากมุมมอง และความรู้เท่าที่ผมได้สัมผัส
และพอจะทราบก็แล้วกัน ถ้าผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ด้วยครับ

 

สำหรับผมแล้ว เหตุผลที่ผมติดตามรายการนี้
ก็คงเพราะรู้สึกสนใจในเรื่องเกี่ยวกับความมุ่งมั่นของนักล่าฝันแต่ละคน
และมันก็ยิ่งน่าสนใจ เมื่อเราได้นั่งดูความสัมพันธ์ของนักล่าฝันภายในบ้าน
ความสัมพันธ์ของเหล่านักล่าฝันกับครู แม้กระทั่งความสัมพันธ์ของนักล่าฝัน
…กับความฝันของพวกเขาเอง

 

การที่เราได้เห็นทั้งนักล่าฝันที่มีพรสวรรค์
นักล่าฝันที่มีพรแสวง ครูที่คอยพร่ำสอนลูกศิษย์อย่างใกล้ชิด
ครูที่คอยดูแลลูกศิษย์อยู่ห่าง(อย่างห่วงๆ)
แขกรับเชิญที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมา ในความรู้สึกของผมแล้ว
ทุกชีวิตที่มารวมกันอยู่ในรายการนี้
ดูเป็นกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากเลยทีเดียว

 

สำหรับในมุมมองของคนที่เพิ่งจะมาติดตามรายการในซีซั่นนี้
และได้แต่ฟังคำบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวในซีซั่นก่อนๆ ทำให้ผมรู้สึกว่า
ซีซั่นนี้มีความน่าสนใจในหลายๆส่วนด้วยกัน
ทั้งเรื่องที่ประกาศออกมาเป็นนโยบายว่า ซีซั่นนี้จะปลุกปั้นนักล่าฝัน
เพื่อให้เป็นศิลปินอย่างเต็มตัว ยิ่งผมได้เห็นการเรียนการสอนที่เข้มข้น
การวางโจทย์เพลงในแต่ละสัปดาห์ การทำงานของเทรนเนอร์แต่ละคน ฯลฯ
ผมก็รู้สึกว่า รายการในซีซั่นนี้ยิ่งทวีความน่าสนใจมากขึ้น

รวมไปถึงสถานการณ์ต่างๆในรายการที่ผมรู้สึกว่า
ทางทีมงานวางแนวทางได้ดีขึ้น
เรื่องที่ควรทำให้มันเซอร์ไพรซ์ก็แสนเซอร์ไพรซ์
เรื่องไหนที่ควรเคร่งครัดก็ว่ากันไปตามระเบียบ สำหรับผมแล้ว
มันเป็นการสร้างมาตรฐานของรายการได้ดีเลยทีเดียว
(หลังจากที่มาตรฐานเสียไปในหลายซีซั่นก่อนหน้านั้น)

 

หลังจากอ้อมค้อมมานาน เรามาเข้าเรื่องที่ทำให้ผมอยากเขียนถึงรายการนี้กันซะทีดีกว่า

 

เวลาที่ผมนั่งจ่อหน้าจอ มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดี
และไม่ค่อยดีสลับกันไป และผมก็คิดว่า
คงมีคนจำนวนอีกไม่น้อยรู้สึกคล้ายๆกับผม เจ้าสิ่งนั้นก็คือ
กรอบด้านล่างของรายการที่แสดงข้อความแชตบนหน้าจอของเหล่าบรรดาแฟนคลับ True Academy Fantasia นั่นแหละครับ

 

ที่บอกว่ารู้สึกดี ก็คงเพราะผมสัมผัสถึงความรู้สึกดีๆจริงๆ เมื่อได้เห็นข้อความที่ส่งผ่านความรัก ความปราถนาดี และกำลังใจจาก"แฟนคลับ" ของเหล่านักล่าฝัน
ซึ่งจะว่าไปแล้วบุคคลพวกนี้ก็เป็นคนที่ไม่เคยรู้จักตัวตนจริงๆของเหล่านักล่าฝัน แต่พวกเขากลับมีความรัก ความรู้สึกดีๆ
ส่งผ่านให้กันอย่างไม่น่าเชื่อ

..ผมว่า แค่นั่งดูคนแสดงออก และส่งต่อสิ่งดีๆให้แก่กัน มันก็ทำให้มีความสุขแล้ว

 

แต่ในทางตรงกันข้าม
ผมจะรู้สึกไม่ค่อยดีเวลาที่เห็นข้อความประเภท ต่อว่า กัดจิก เหน็บแหนม ฯลฯ
ที่เป็น"ด้านลบ"ปรากฏขึ้นมากรอบด้านล่าง

 

ก่อนอื่น.. ผมคงต้องอธิบายคำว่า"ด้านลบ"ในมุมมองของผมก่อน

 

ข้อความ"ด้านลบ"ที่ผมกล่าวถึง ไม่ได้หมายความถึง
ข้อความที่เข้าข่ายประเภทตำหนิติเตียนไปซะหมด เพราะผมเชื่อครับว่า
หลายๆครั้ง การต่อว่า ตำหนิติเตียนกันอย่างจริงใจ
หรือ "ติเพื่อก่อ" เป็นสิ่งที่คนเราสามารถกระทำได้ หากการต่อว่า ตำหนิติเตียนนั้น มาจากความมุ่งมาดปราถนาดีซึ่งกันและกัน

 

แต่ข้อความ"ด้านลบ"ที่ผมกล่าวถึง หมายความถึง
ข้อความที่ออกมาจากทัศนคติ"ด้านลบ"ของแฟนคลับจำนวนนึงมากกว่า
ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่ออกมาการแสดงความเกลียดชังนักล่าฝันคนนั้น
ข้อความว่าร้ายนักล่าฝันคนนี้
รวมไปถึงข้อความที่ต่อว่าโต้ตอบกันไปมาอีกด้วย

 

ในมุมมองผมแล้ว ปรากฏการณ์บนกรอบสี่เหลี่ยมเล็กๆด้านล่างของรายการนี้ อาจจะกำลังบ่งบอกถึงสภาพสังคมของบ้านเราอยู่ก็เป็นได้

ผมว่า บ้านเราเมืองเราตอนนี้ มันอยู่ในยุคสมัยของการ"แบ่งฝ่าย"ครับ และเป็นการแบ่งฝ่ายแบบ"เลือกที่รักมักที่ชัง"เสียด้วย

นั่นคือ เมื่อเราเลือก"คนที่เรารัก"แล้ว เราก็มักจะเลือก"คนที่เราเกลียด"พ่วงไปด้วยเสมอ ..มันจึงทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบนี้ขึ้นมา

 

ใครหลายคนอาจจะมองมันเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา
ที่แฟนคลับคนนึงจะนั่งลงดูรายการ แล้วติดตามใครสักคน นิยมชมชอบ
ส่งข้อความให้กำลังใจ เสียเงินโหวตไปให้พวกเขาเหล่านั้น

..แต่ความจริงแล้ว
พวกเขาน่าจะต้องมีแรงจูงใจอะไรบางอย่างถึงระดับนึงจึงจะกระทำการแบบนั้นได้
อย่างผม ผมก็มีนักล่าฝันที่แอบเชียร์อยู่ในใจ
แต่ก็ไม่ได้กดโหวตไปให้แม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งการจะส่งข้อความเข้าไปแชตนั้น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง

แรงจูงใจสำหรับแฟนคลับเหล่านั้น อาจจะเป็นความรัก
ความศรัทธา ความนิยมชมชอบอะไรก็แล้วแต่
ที่มากพอจะผลักดันให้คนๆนึงลุกขึ้นมาทำอะไรให้คนอีกคนนึงได้

..แม้มันจะดูเล็กน้อยในสายตาใครก็ตาม  แต่ผมก็มองว่า มันไม่ใ่ช่เรื่องง่าย

 

ดังนั้น ผมจึงสงสัยต่อไปว่า แล้วการที่คนเราจะเกลียด
ไม่ชอบขี้หน้ากัน ถึงขนาดจะต้องข้อความไปนินทาว่าร้ายใส่
ผู้คนเหล่านั้นเขาได้รับแรงจูงใจอะไรกัน ?

 

แล้วสุดท้าย
เมื่อมีใครสักคนเริ่มต้นวงโคจรของความเกลียดชัง
ทุกคนก็เริ่มแบ่งฝ่ายรวมกลุ่มในนามของคนที่รักใคร หรืออะไรบางอย่าง
แล้วประณามคนที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม

..ทุกวันนี้ สังคมเราจึงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง  ทั้งๆที่มันควรจะเป็นความรัก

 

สำหรับผมแล้ว ผมว่าการชื่นชม ชื่นชอบใครสักคนเป็นเรื่องดีครับ ความรักไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอยู่แล้ว

หรือว่าบางทีเราควรจะเลิก"เลือกที่รักมักที่ชัง"แล้วหันไป"รักเขาข้างเดียว"กันให้มากกว่านี้

 

"รักเขาข้างเดียว" ในความหมายที่ผมอยากให้มันเกิดขึ้นก็คือ
การที่เรารักใครสักคน โดยที่ไม่จำเป็นต้องคิดจะเกลียดใครพ่วงเข้าไปด้วย
และนั่นก็หมายความว่า ถ้าคนที่เรารักถูกทำร้าย เราอาจจะลุกขึ้นมาปกป้องเขา
แต่เราไม่จำเป็นต้องแสดงความเกลียดชังใส่ใคร


ผมนั่งดูนักล่าฝันแม้พวกเขาจะมีความแตกต่าง
มาจากสังคมที่หลากหลาย อาจจะเคยมีปัญหาผิดใจกันบ้าง
ผมก็ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่การหันหน้าเข้าหากัน พูดคุยกัน เปิดใจกัน
และ"รักกัน" ก็ทำให้ทุกปัญหาผ่านไปได้ 
และสุดท้าย มันก็ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังเดียวกันได้อย่างมีความสุข

 

 

ผมรู้ในทุกขณะที่นั่งดูรายการว่า จะมีนักล่าฝันคนหนึ่งที่ได้เดินไปจนถึงจุดหมายปลายทางของความฝัน

 

 

แต่ผมก็เกิดความสงสัย เมื่อผมกดรีโมทเปลี่ยนช่องไปดูรายการอื่นๆ

..เมื่อไหร่นะ ความฝันของคนไทยหลายคนจะเป็นจริงเสียที

 

 

 

อรุณสวัสดิ์

 

 

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ"

รอยยิ้ม และเสียงของหญิงสาวผู้นั้น เปรียบเหมือนแสงสว่างในยามเช้า…

 

 

ใช่แล้ว..เธอคือนางในฝัน ผู้กำลังเดินผ่านหน้าเขา และก้าวเข้าไปในลิฟต์ไปอย่างช้าๆ

ประตูลิฟต์กำลังปิด พร้อมกับการจากไปของรอยยิ้มที่เขาหลงใหล 

เขาสูดลมหายใจ แล้วตัดสินใจกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์


 

..มันเป็นยามเช้าแสนอบอุ่นที่เขาจำมันได้ขึ้นใจ 

 

 


 

 

เขาวิ่งลงมาตามขั้นบันได ดึงเนคไทบนคอของเขา และใส่รองเท้่าอย่างเร่งรีบ พร้อมหยิบกุญแจรถวิ่งออกไปจากบ้าน

 

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ คุณ" รอยยิ้ม และเสียงของหญิงสาวผู้นั้น ลอยผ่านบานหน้าต่างห้องครัวออกมา

เขาชะงักนิ่งไปด้วยความลังเล ก่อนจะตัดสินใจก้าวเท้าเดินต่อไป

 

"ไม่ทานอาหารเช้าก่อนหรือคะ?" รอยยิ้ม และเสียงนั้น พยายามซ่อนความสงสัยอยู่ภายใน

เขาหันไปมองเธอตาขวาง ก่อนปิดประตูลงดังปัง แล้วสตาร์ทเครื่องขับออกไป

 

 

"ทำไมไม่ยอมปลุกนะ"เขาพึมพัมอยู่หลังพวงมาลัย


..เธอยืนร้องไห้อยู่ริมหน้าต่างห้องครัว

 

 

เสียงทำนองสรภัญญะเมื่อหัวค่ำ ยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเขา และเร่งเ้ร้าให้ของเหลวใสรินไหลออกจากดวงตา

 

เตียงนอนที่คุ้นเคย ดูโล่งไปถนัดตา

พื้นที่ข้างกายเขา ..ว่างเปล่าในค่ำคืนนี้

 

เขานอนกอดหมอนใบเก่าที่เํธอหนุนอยู่ทุกค่ำคืน สูดดมกลิ่นอายที่ยังพอจะหลงเหลือ

..เพราะนั่นอาจเป็นเพียงไม่กี่สิ่งที่เํธอได้ืิทิ้งเอาไว้ ก่อนที่ร่างกายของเธอจะลาโลกใบนี้ไป

 

เขาเข้าใจในความไม่แน่นอนของโลกใบนี้

และเข้าใจดีว่าอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้

 

 

 

แต่เขาจะทำใจได้อย่างไร กับความรู้สึกในใจที่ยังค้างคาว่า เขาอาจจะเป็นสาเหตุของสิ่งเหล่านั้น

 

 

 

เธอยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ริมหน้าต่างแล้วมองนาฬิกา

..แต่ปลายสายตาของเธอได้พบกับอะไรบางอย่างที่วางอยู่บนเก้าอี้

 

มันคือกระเป๋าสีน้ำตาลใบเก่าที่เขาลืมมันเอาไว้..

 

เธอวิ่งไปหยิบกุญแจรถอีกคันอย่างรีบร้อน ก่อนที่จะขับมันออกไป..

โดยไม่คาดคิดล่วงหน้าว่า การเดินทางครั้งนั้น จะทำให้เธอไม่ได้พบกับเขาอีก ..ตลอดไป

 


 

เงามืด และเสียงสงัดในยามรัตติกาลช่างดูโหดร้าย

ความหดหู่ของมัน ชวนให้เขานึกถึงสิ่งไม่ดีทั้งหลายที่ได้ทำไว้กับเธอ..

 

ภาพในอดีตได้ย้อนกลับมาทำร้ายหัวใจของเขา

 

เขาโง่มากใช่มั้ย? ที่ได้ทำร้ายคนที่เขารัก และรักเขาจนหมดหัวใจ

เขาโง่มากใช่มั้ย? ที่ไม่เคยรู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปขนาดไหน

เขาโง่มากใช่มั้ย? ที่มารู้ตัวเองได้..ในวันที่สายเกินไป

 

 

เขายืนอยู่ที่ระเบียงของบ้านริมชายหาด และกวาดสายตาไกลออกไปยังปลายฟ้า ที่ตัดกับขอบของน้ำทะเล

สีอ่อนๆของลำแสง ค่อยๆแทงผ่านม่านเมฆที่ปลายฟ้า ราวศิลปะสูงมูลค่าในแกลอรี่

 

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ"

 

รอยยิ้ม และเสียงของหญิงสาวผู้นั้น เปรียบเหมือนแสงสว่าง..

มันทำให้ร่างกาย และสายตาของเขาต้องเคลื่อนไหวไปยังต้นเสียง

 

"ตื่นแล้วหรือครับ?"

 

ชายหนุ่มยื่นมือไปหาหญิงสาว เธอยิ้มก่อนแทนคำตอบ ก่อนจะจับมือเขา แล้วดึงร่างของตนขึ้นจากเตียงนอน

 

"ทำอะไรอยู่หรือค่ะ?"

เธอก้าวนำเขาออกไปยังระเบียงริมหาด

 

"กำลังดูพระอาทิตย์ขึ้นนะ"

ชายหนุ่มเดินตามหลังมา

 

"สวยดีนะคะ"

เธอเปรยขึ้น

 

"แต่ก็ไม่เท่าคุณหรอก"

ชายหนุ่มสวมกอดจากด้านหลัง

 

เขาและเธอยิ้มให้กัน..

 

 

"ผมชอบแสงแดดในยามเช้า มันเป็นช่วงเวลาที่แสนงดงาม…

ผมคงเป็นสุขมากกว่าใคร หากลืมตาขึ้นมาตอนเช้า แล้วได้เห็นแสงสว่างที่ปลายขอบฟ้า.."

 

 

 

 

เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋า หยิบเอาแหวนวงเล็กออกมา

 

 

 

 

"คุณจะเป็นแสงแดดยามเช้าให้ผมตลอดไปได้มั้ย?"

 

 

 

 

..มันเป็นยามเช้าแสนอบอุ่นที่เขาจำมันได้ขึ้นใจ

 

 

 

 

 

แล้วสิบปีที่ผ่านมา เขาทำอะไรลงไป !!!???

 

เขาคล้ายจะหลงลืมความสุขยามมองท้องฟ้าในเวลาเช้า

และนี่คงเป็นบทเรียนสำหรับเขา ที่ต้องถูกทิ้งให้อยู่ในเงามืดอันเดียวดาย

 

 

ค่ำคืนที่แสนทรมาน.. เขาจะผ่านมันไปได้เช่นไร

แม้กี่หยดน้ำตาที่รินไหล จึงจะลบล้างความมืดนั้นออกไป และทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวได้อีกครั้ง

 

 

 

 

 

 

"อรุณสวัสดิ์ค่ะ"

รอยยิ้ม และเสียงของเด็กสาวผู้นั้น เปรียบเหมือนแสงสว่างในยามเช้า…

มันทำให้ร่างกาย และสายตาของเขาต้องเคลื่อนไหวไปยังต้นเสียง

 

 

"ทำอะไรอยู่หรือค่ะ? คุณพ่อ.."

เขาประคองกอดเธอไว้ น้ำตายังรินไหลอาบหน้า..

 

 

เธอยกมือเล็กๆของเธอวางลงบนใบหน้าของเขา

..ค่อยๆเกลี่ยนิ้วน้อยๆนั้น ลงบนรอยน้ำตา จนมันเหือดแห้งไป

 

 

 

"..เดี๋ยววันนี้พ่อไปส่งที่โรงเรียนเองนะ"

เขากระซิบที่หูซ้ายของเด็กสาว และมองเห็นแสงแดดยามเช้าที่กำลังสาดส่องเข้ามาทางบานหน้าต่าง

 

 

แม้ค่ำคืนจะยาวนาน และแสนทรมานเพียงใด

..ก็ยังมีเช้าวันใหม่เฝ้ารออยู่เสมอ

 

 

 

 

 

"อรุณสวัสดิ์"

 

 

ส่องสัตว์

 

ผมทิ้งตัวลงบนโซฟา คว้ารีโมทกดเปิดทีวี 

 

.

.

.

เสียงดนตรีประกอบรายการดังขึ้น แสงไฟสว่างวาบ

 

พิธีกร : สวัสดีครับ
กลับมาพบกับผมในรายการ "สนทนาประสาสุนัค"กับผม สุนัค มรรคการกลัด
ในช่วงเดือนนี้มีข่าวของครอบครัว
ครอบครัวนึงที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่า
หยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาทุกเช้า ก็จะได้เห็นภาพของพวกเขาขึ้นหน้า 1
ไม่ว่าจะเปิดทีวีไปที่ไหน เราก็จะได้เห็นข่าวของพวกเขา แต่วันนี้
เราเป็นที่แรก ที่เขาจะยอมเปิดอกพูดคุยกับเราในทุกเรื่องราว
และข่าวคราวของครอบครัวเขา ขอเสียงปรบมือต้อนรับคุณแพนด้า แซ่ซ้อง ครับ

แพนด้าเดินออกมาจากหลังฉากเวที ก้าวลงมาตามขั้นบันได
นักข่าวและช่างภาพที่อยู่ในสตูดิโอรัวชัตเตอร์ไม่ยั้งราวกับเป็นทหารที่อยู่
ท่ามกลางสมรภูมิอันดุเดือด

พิธีกร : สวัสดีครับ คุณแพนด้า

แพนด้า : สวัสดีครับ คุณสุนัค

พิธีกร : ขอบคุณมากนะครับ ที่ให้เกียรติรายการของเราในการสัมภาษณ์เป็นที่แรกของประเทศ

แพนด้า : ผมก็ต้องขอบคุณทางคุณสุนัคกับทีมงานเหมือนกันครับ ที่ให้ผมได้มีโอกาสชี้แจง และตอบคำถามต่างๆเสียที

พิธีกร : แหม.. ถ่อมตัวไปนะครับ คุณแพนด้า
ตอนนี้ทั่วบ้านทั่วเมืองใครๆก็อยากสัมภาษณ์คุณทั้งนั้น ถ้าอย่างนั้น
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมว่า
เรามาเข้าพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่หลายตัวอยากทราบกันดีกว่าครับ

แพนด้า : ครับ เชิญคุณสุนัคเลยครับ

พิธีกร :
ก่อนอื่นผมต้องขอแสดงความยินดีกับคุณแพนด้าที่ได้ลูกสาวที่น่ารัก
ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่สนใจของสังคม
ผมอยากให้คุณแพนด้าเล่าถึงวันที่ภรรยาคุณคลอดลูกสาวหน่อยครับ

แพนด้า : เอ่อ..(นิ่งไปสักพัก) ความจริงเรื่องนี้ ถามผมก็ไม่ค่อยถูกนะครับ เพราะตอนที่ภรรยาผมคลอดลูก ผมไม่ได้อยู่ด้วยนะครับ

พิธีกร : อ้าว.. แล้วคุณอยู่ที่ไหนล่ะครับ

แพนด้า : ผมกับภรรยาถูกจับแยกกันอยู่น่ะครับ (น้ำตาคลอ)

เสียงผู้ชมในห้องส่ง : อู้ว……………

พิธีกร : โอ้ว..
ผมต้องแสดงความเสียใจด้วยนะครับ (หันหน้าเข้าหากล้อง) และนี่แหละครับ
คืออีกมุมนึงที่สังคมยังไม่เคยรู้ นี่เป็นความรู้สึกของผู้เป็นพ่อที่น่า
เห็นใจมากเลยทีเดียว (หันกลับมาหาแพนด้า)
เพื่อความสบายใจของคุณแพนด้านะครับ ผมว่า
ตอนนี้เปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า ถ้าอย่างนั้น
ผมอยากทราบความรู้สึกแรกที่คุณรู้ว่า ภรรยาคุณคลอดลูกสาวน่ะครับ

แพนด้า :
วินาทีที่ผมได้รับทราบเรื่องลูกของผม ซึ่งตอนนั้นก็ยังไม่ทราบนะครับ
ว่าเป็นลูกสาวหรือลูกชาย ..ผมต้องบอกว่า
ความรู้สึกตอนนั้นมันบรรยายได้ลำบากมากครับ มันปะปนกันไปหมด ทั้งดีใจ
เสียใจ ตื่นเต้น แล้วก็หวาดหวั่น

พิธีกร : ปะปนกันยังไง ช่วยชี้ให้ชัดๆหน่อยได้มั้ยครับ?

แพนด้า : ตอนที่ผมทราบข่าว
ผมดีใจมากนะครับที่รู้ว่า ผมได้เป็นพ่อสัตว์แล้ว แต่แล้วผมก็ต้องเสียใจ
เพราะพวกเขาไม่ยอมให้ผมได้พบกับลูก (น้ำตาไหล) ..ผมอยากจะพบกับลูกผมครับ
(ร้องไห้)
 

พิธีกร : (หันมาหากล้อง) นี่แหละครับ
ความโหดร้ายที่สังคมได้ทำไว้กับครอบครัวนี้ (ชำเลืองมองแพนด้าที่กำลัง
ร้องไห้)ผมว่าตอนนี้ให้คุณแพนด้าได้พักสักครู่นะครับ
แล้วเดี๋ยวเราจะกลับมาพูดคุยกับเขากันต่อครับ

 

ภาพบนจอโทรทัศน์ตัดเข้าโฆษณาปัญญาอ่อน ก่อนที่จะตัดกลับเข้ามาสู่รายการ

เสียงดนตรีประกอบรายการดังขึ้น แสงไฟสว่างวาบ

 

พิธีกร :
(หน้ามองกล้อง)ท่านยังอยู่กับรายการ "สนทนาประสาสุนัค"
ซึ่งวันนี้เรามีแขกรับเชิญเป็นคุณแพนด้าครับ
เมื่อซักครู่เราได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของการคลอดอาหมวย
ลูกสาวตัวแรกของเขาไปคร่าวๆแล้ว
ตอนนี้เราจะมาพูดคุยกันถึงความเปลี่ยนแปลงในชีวิตที่เกิดขึ้นหลังจากการคลอด
อาหมวยกันครับ (หันกลับมาหาแพนด้า) อยากจะถามคุณแพนด้าซักนิดนึงครับ
เกี่ยวกับเรื่องการตั้งชื่อของอาหมวยหน่อยครับ ไม่ทราบว่า
คุณชอบชื่อไหนมากที่สุด

แพนด้า : ผมสามารถพูดออกทีวีได้หรือครับ? (ปาดน้ำตา)

พิธีกร : เอ่อ.. ทำไมหรือครับ? คือว่ารายการเราเป็นรายการสดน่ะครับ

แพนด้า : เอาเถอะ ไม่เป็นไร
ไหนๆผมก็บอกแล้วว่า วันนี้ผมอยากจะเปิดอกให้หมดทุกเรื่อง
ผมก็ขอแสดงความคิดเห็นแล้วกัน ใครจะคิดอย่างไร ผมก็ไม่ว่าอะไร
  (ปาดน้ำตาอีกครั้ง)

พิธีกร : ครับ เชิญเลยครับ ว่ากันตรงๆได้เลย

แพนด้า : ผมอยากทราบครับว่า
พวกคุณเคยถามความเห็นผมบ้างมั้ย? เรื่องลูกสาวของผมน่ะครับ
ถ้าคุณเป็นพ่อสัตว์เหมือนอย่างผม คุณจะว่าอย่างไรครับ คุณสุนัค?

พิธีกร : อืม.. อันนี้ก็พูดลำบากนะครับ

แพนด้า : ใช่มั้ยครับ? ถ้าคุณมีลูก  คุณจะว่ายังไง ถ้าอยู่ๆก็มีคนแย่งกันตั้งชื่อลูกคุณ โดยไม่ถามคุณซักคำ?

พิธีกร : โอ๊ย.. เป็นผม ผมไม่ยอมหรอกครับ

แพนด้า : คุณยังไม่ยอมเลย แล้วผมล่ะครับ
หน้าลูกผมก็แทบจะไม่ได้เห็น เอะอะๆก็จับลูกผมไปตรวจ ขนตาดำแกขึ้น
พวกคุณก็เอาไปลงข่าว นี่ตาแกกำลังจะเปิด พวกเขาก็จ้องรอจะถ่ายกัน
ผมไม่แน่ใจว่า พอลืมตามาดูโลก แกจะเห็นหน้าพ่อ หน้าแม่
หรือว่ากระบอกเลนส์กับแฟลชก่อนกัน

พิธีกร : อืม.. น่าสนใจมากครับ ประเด็นนี้

แพนด้า :
เรื่องชื่อลูกสาวผมก็เหมือนกัน ทำไมต้องประกวดตั้งชื่อกันด้วย
แล้วเอาคณะกรรมการมาคัด ให้โหวตกันทั้งประเทศ
แถมยังเอารูปภาพพวกผมไปทำไปรษณียบัตรอีก

พิธีกร : ถ้าในแง่ตามกฏหมายสิทธิสัตวชน คุณเห็นว่า เรื่องนี้เป็นการกระทำที่คุกคามมั้ยครับ?

แพนด้า : กฏหมายอะไรนะครับ? สิทธิสัตวชนหรอ? อ๋อๆ ผมก็รู้สึกว่า พวกเขาคุกคามผมนะครับ (พยักหน้าเออออ)

พิธีกร : (แอบยิ้ม) แล้วเรื่องนี้คุณจะฟ้องมั้ยครับ?

แพนด้า : ฟ้องหรือครับ? (ครุ่นคิด) เอ่อ.. เรื่องนี้ผมคงต้องคุยกับฝ่ายกฏหมายก่อนนะครับ (ครุ่นคิด)

พิธีกร : แล้วคุณคาดว่าจะชนะมั้ยครับ?

แพนด้า : เอ่อ.. ผมแค่อยากเรียกร้องสิทธิสัตวชนน่ะครับ ผมอยากตั้งชื่อลูกของผมเอง

พิธีกร : แล้วถ้าพวกเขาฟ้องคุณกลับครับ?

แพนด้า : ฟ้องกลับว่าอะไรล่ะครับ?

พิธีกร : ก็เขาอาจจะบอกว่า ลูกสาวคุณเป็นบุคคลสาธารณะ คุณไม่ควรปิดกั้น อย่างสื่อมวลชนก็มีเสรีภาพของสื่อนะครับ

แพนด้า : พวกคุณอาจจะคิดว่า
ลูกสาวผมเป็นบุคคลสาธารณะ แต่ความจริงแล้ว ผมเป็นพ่อเขานะครับ
ผมกับภรรยาน่าจะมีสิทธิในตัวเขามากกว่าพวกคุณ และในความคิดผม
ลูกสาวผมก็ไม่ใช่ของสาธารณะด้วย (ขึ้นเสียง)

พิธีกร : โอว.. ใจเย็นๆนะครับ คุณแพนด้า
ผมเป็นสื่อมวลชนนะครับ (หันหน้าเข้าหากล้อง)
ผมว่า ตอนนี้เราให้คุณแพนด้าสงบสติสักครู่นึงนะครับ
แล้วเดี๋ยวเรากลับมาพบกันในช่วงหน้า พักสักครู่ครับ

 

ภาพบนจอโทรทัศน์ตัดเข้าโฆษณาปัญญาอ่อนตัวเดิม ก่อนที่จะตัดกลับเข้ามาสู่รายการ

เสียงดนตรีประกอบรายการดังขึ้น แสงไฟสว่างวาบ

 

พิธีกร : และนี่คือรายการ
"สนทนาประสาสุนัค" ในช่วงที่ 3 ครับ
เรายังอยู่กับบุคคลที่เป็นกระแสที่สุดในช่วงนี้ คุณแพนด้าครับ
(หันกลับมาหาแพนด้า) นอกจากประเด็นเรื่องลูกสาวคุณแล้ว
ยังมีอีกประเด็นที่สังคมให้ความสนใจนั่นก็คือ
เรื่องบ้านใหม่ของครอบครัวคุณที่มูลค่าถึง 60 ล้าน

เสียงผู้ชมในห้องส่ง : โอ้ว……………

แพนด้า :
ความจริงเรื่องบ้านนี่ผมไม่อยากพูดอะไรมากนะครับ
เพราะว่าผมเองก็ไม่ได้เป็นผู้เรียกร้อง
ประเด็นนี้ก็เหมือนเรื่องลูกสาวผมนั่นแหละครับ
ใครๆก็ไม่เคยถามความคิดเห็นจากผม พวกคุณสร้างบ้านให้ผมใหม่
แล้วให้ผมย้ายเข้าไป คิดเองเออเองว่า มันเหมาะสมกับผม เหมาะสมกับครอบครัวผม

พิธีกร : แล้วคุณไม่ชอบหรือครับ?

แพนด้า :
ผมไม่มีปัญหาอยู่แล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? บรรพบุรุษของพวกเรา อยู่กลางดิน
กินกลางป่า ก็อยู่รอดมาได้ ทำไมต้องสร้างโดมหิมะอะไรให้ครอบครัวผมอยู่ด้วย
ไม่ใช่ว่าผมไม่ชอบหรอกนะ เพียงแต่ผมว่ามันก็ไม่ได้จำเป็นอะไร

พิธีกร : แต่บ้านคุณก็กลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ไปเลยนะครับ

แพนด้า : ก็นั่นแหละครับที่ผมไม่ต้องการ
มันจะทำให้ใครต่อใครหมั่นไส้ผมและครอบครัวมากขึ้นกว่าเก่า แต่ถามจริงๆ
ที่พวกเขาค่อนขอดผมเรื่องนั้นเรื่องนี้ เขาเคยคิดหรือเปล่าว่า
เวลาจะทำอะไรกันมีใครมาสนใจผมมั้ย? อย่างที่ผมบอก คิดเองเออเอง
คิดกันไปเองว่าดี คิดไปเองว่าพวกผมจะชอบ แต่พวกเขาก็ไม่เคยสนใจผมจริงๆหรอก
คิดกันไปเองทั้งนั้น

พิธีกร
: (หันหน้ามองกล้อง)งั้นในวันนี้ครับ
เรามีอีกมุมมองนึงจากนักวิชาการเจ้าของโครงการบ้านใหม่ของคุณแพนด้าให้เกีย
รติโฟนอินเข้ามาในรายการเรา สวัสดีครับ อาจารย์ครับ

โฟนอิน : พ่อแม่พี่น้องต้องช่วยกัน ล่ารายชื่อพาผมกลับบ้าน…

พิธีกร : (ส่งซิกหาทีมงาน) เอ่อ..
รู้สึกว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณโทรศัพท์เล็กน้อยนะครับ
ขอเวลาทีมงานแก้ไขซักครู่นึง (ทีมงานส่งซิกกลับ)
ตอนนี้อาจารย์อยู่ในสายกับเราแล้วครับ สวัสดีครับอาจารย์ครับ

โฟนอิน : สวัสดีครับ

พิธีกร : อยากให้อาจารย์พูดถึงแนวคิดในการสร้างบ้านใหม่ของคุณแพนด้าหน่อยครับ

โฟนอิน :
โครงการนี้เป็นการประชุมร่วมกันภายในคณะกรรมการบริหารกิจการแพนด้าเพื่อความ
สงบสุข สันติ และสมานฉันท์ หรือ คบพสสส. นะครับ
เพราะเราอยากให้คุณแพนด้าได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

พิธีกร : แล้วที่คุณแพนด้าเขาบอกว่า ที่อยู่เก่าเขาก็ดีอยู่แล้วล่ะครับ

แพนด้า : อ่า.. คุณสุนัคครับ ผมไม่ได้บอกว่า บ้านเก่าผมดีนะครับ ผมแค่บอกว่า ไม่มีปัญหาอะไร

พิธีกร : ครับๆ นั่นล่ะครับ อาจารย์คิดว่าอย่างไรบ้างครับ

โฟนอิน : นั่นไงครับ คุณแพนด้าก็อยากได้บ้านใหม่

แพนด้า : ผมเปล่านะครับ

โฟนอิน :
ความจริงเราก็ปรึกษาคุณแพนด้าแล้วนะครับ แต่ไม่รู้ทำไม
คุณแพนด้าถึงออกมาเรียกร้อง แต่เราก็พิจารณาใน คบพสสส. แล้วว่า
การสร้างบ้านใหม่ให้คุณแพนด้าจะเป็นประโยชน์ที่สุด

แพนด้า : ประโยชน์กับพวกคุณละสิ จะงาบค่าก่อสร้างกันน่ะ

พิธีกร : คุณแพนด้า ว่ายังไงนะครับ

แพนด้า : เปล่าครับ ผมไม่ได้พูดอะไร

โฟนอิน : ผมได้ยินนะ คุณแพนด้า นี่มันกล่าวหากันชัดๆ ผมจะฟ้องหมิ่นประมาทคุณ

แพนด้า : คุณจะฟ้องผมได้ยังไง ไหนหลักฐาน นี่มันรายการสดนะคุณ

พิธีกร : เอ่อ.. แต่เราก็บันทึกเทปนะครับ คุณแพนด้า

แพนด้า : …

โฟนอิน : โดนแน่ๆ

แพนด้า : ผมว่า เรื่องนี้คุณก็ส่งฟ้องมาแล้วกันครับ แล้วให้ตุลาการเขาตีความ

โฟนอิน : แหม.. ใจกล้านะคุณ

แพนด้า : แต่ถ้าตีความมาผมไม่ผิด ผมฟ้องกลับนะครับ

โฟนอิน : ส่งฟ้องไปผมก็แพ้ ในสายตาสังคม คุณมันคุณชายสะอาดนี่ สองมาตรฐานชัดๆ

พิธีกร : อาจารย์กำลังดูหมิ่นศาลนะครับ

โฟนอิน : นั่นไง ปกป้องกันเข้าไป โธ๋เอ๋ย ถ้าคุณได้รู้เบื้องหลังที่มันมาออกสื่อนะ แล้วพวกคุณ….. ตู๊ดๆๆๆๆๆๆๆ

พิธีกร : รู้สึกสายจะหลุดไปแล้วนะครับ
น่าจะมีสัญญาณแทรกเข้ามาในตอนท้าย (หน้าเสีย)
เป็นเหตุการ์วุ่นวายพอดูเลยนะครับวันนี้ ตอนนี้เรามาพักกันสักครู่
แล้วเดี๋ยวกลับมาพบกับช่วงสุดท้ายของรายการครับ(เฮ้อ…)

 

 

ภาพบนจอโทรทัศน์ตัดเข้าโฆษณาปัญญาอ่อนแทบไม่ทัน และสุดท้าย ก็ตัดกลับเข้ามาสู่รายการ

เสียงดนตรีประกอบรายการดังขึ้น แสงไฟสว่างวาบ

 

พิธีกร : กลับมาพบกับช่วงสุดท้ายของรายการ
"สนทนาประสาสุนัค"นะครับ คำถามสุดท้ายที่ผมอยากถามคุณแพนด้า
เกี่ยวกับข่าวเรื่องคุณพลายพันล้าน
เกี่ยวกับกรณีที่สังคมออกมาวิพากษ์วิจารณ์
ในการที่เขาทาสีเลียนแบบคุณนะครับ

แพนด้า :
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องสิทธิพื้นฐานของสัตวชนนะครับ
ผมก็ต้องว่าไปตามสิ่งที่ควรทำ ความจริงผมก็เห็นใจเขานะครับ
แต่เขากำลังเลียนแบบผม มันผิดเรื่องลิขสิทธิ์ และทรัพย์สินทางปัญญา
ผมจะฟ้อง…

 

.

.

.

 

 

"ทำตัวเหมือนคนเข้าไปทุกวัน"

ผมกดปิดโทรทัศน์พร้อมกับสบถเสียงดัง

 

 

 

อ๊อดดดดดด…….

มีคนมากดออดหน้าบ้านผม

 

 

 

"มีพัสดุถึงคุณวรานัสครับ"

ผมแลบลิ้นแล้วเดินไปเปิดประตู..

 

 

———————————————————

 

Status : อินเทรนด์-เป็นหวัด

 

ติดตาม ตุ้ยนุ้ย โปรเจ็คท์ # ๕ [ตอน…รีโมท] ได้ ที่นี่ วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม 2552

ติดตาม ตุ้ยนุ้ย โปรเจ็คท์ ย้อนหลัง คลิก ที่นี่ ครับ

เหตุการณ์บนดวงดาว

 

คุณว่า.. ดวงดาวมีความรู้สึกไหม?

 

ตุ้ย (กิมจุ้ยลุยสวน) ถามผมว่า

ถ้าผมเป็นดาวเคราะห์ที่ชื่นชมความสว่างของดวงอาทิตย์มาก

แล้วดาวเคราะห์ดวงนั้น ก็มีดวงจันทร์ที่แอบชอบมานาน

ดาวเคราะห์อยากให้ดวงจันทร์นั้นได้เห็นความสว่างของดวงอาทิตย์บ้างจึงพาเธอไปดูดวงอาทิตย์ด้วยกัน

ดวงจันทร์ที่ไม่เคยพบดวงอาทิตย์มาก่อนก็เกิดหลงรักดวงอาทิตย์

จึงหลุดวงโคจรจากดาวเคราะห์ไปโคจรรอบดวงอาทิตย์แทน

ผม – ในฐานะ "ดาวเคราะห์ผู้เดียวดาย"

…จะรู้สึกต่อตนเอง, ต่อดวงจันทร์, และต่อพระอาทิตย์อย่างไร?

 

สมมติให้ผมเป็นดาวเคราะห์

..นักพเนจร(Planets)ผู้ไร้ซึ่งแสงสว่างในตนเอง

 

สมมติให้เธอเป็นดวงจันทร์

..ดาวบริวารที่โคจรรอบตัวผม

 

และสมมติให้เขาเป็นดวงอาทิตย์

..ดาวฤกษ์ดวงใหญ่ ผู้แผ่รัศมีกว้างไกลในจักรวาล

 

ผมเป็นนักเดินทางผู้ทะนงตน ที่ปักใจเชื่อตลอดมาว่า ตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล..

และคิดไปเองว่า ดวงจันทร์จะโคจรอยู่รอบกาย ภายใต้แรงดึงดูดของผมตลอดไป

 

แต่ผมไม่เคยทำความเข้าใจในจักรวาล..

 

ผมได้รู้จักกับดวงอาทิตย์

ผมชื่นชมเขาในฐานะดวงฤกษ์ดวงใหญ่ที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานมากมาย

..และมีเพียงพอที่จะแจกจ่ายให้นักเดินทางยากไร้ที่ไม่มีแสงสว่างในตนเอง

 

นักเดินทางที่ปราศจากแสงสว่างอย่างผมจึงโคจรตามดวงอาทิตย์

ด้วยความคิดที่ว่า ดวงอาทิตย์ได้อุทิศตน เพื่อมอบพลังงานให้ผม

..ผู้ทะนงตนว่า เป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล

 

แต่แล้วความภาคภูมิของนักเดินทางก็ถูกขว้างทิ้ง

เมื่อเราได้รู้ความจริงจากนักดาราศาสตร์

นิโคเลาส์ โคเปอร์นิคัส ประกาศว่า ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาล

และแสดงหลักฐานจากการสังเกตการณ์ของกาลิเลโอ

 

การรับรู้ในครั้งนั้นประหนึ่งการชำเราผม

มันเปลี่ยนนักเดินทางผู้ทะนงตน ทำให้ผมกลายเป็นเพียงดาวเร่ร่อนที่โคจรไปรอบดวงอาทิตย์

ความจริงเหล่านั้น แปรสภาพความเย่อหยิ่งที่ผมมี เป็นผงธุลีในอวกาศ

 

ในฐานะนักเดินทางผู้พร้อมรับทุกสิ่ง

ผมตัดสินใจที่จะก้มหน้านิ่ง รับความจริงนั้นอย่างลูกผู้ชาย

..และยังไม่คลายความชื่นชมที่ผมมีต่อดวงอาทิตย์

 

เหตุใดผมจึงต้องรังเกียจดวงอาทิตย์ เพียงด้วยความคิดของนักดาราศาสตร์

 

เพราะไม่มีใครที่จะเข้าใจจักรวาล..

 

การเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาลไร้ความหมาย และนัยยะสำคัญ

ตราบเท่าที่ผมยังมีดวงจันทร์โคจรอยู่ข้างกาย

 

ก่อนที่สุดท้าย..

มันจะเป็นเพียงความงมงายซ้ำสองของดาวเคราะห์พเนจรอย่างผม

 

ด้วยความยินดีและชื่นชม ผมจึงพาดวงจันทร์ไปทำความรู้จักกับดวงอาทิตย์

..โดยหาได้คิดใคร่ครวญให้ดีไม่ ว่าอาจเกิดสิ่งใดตามมา

 

ผมพาเธอโคจรไปรอบจักรวาล โดยมีจุดหมายปลายทางคือการพาเธอไปพบพานกับดวงอาทิตย์

..โดยไม่ทันระแวงคิดว่า การโคจรครั้งนั้น อาจทำให้เธอจากผมไป

 

ในวินาทีที่เธอได้พบเขา เกิดเป็นเงาทาบทับบนท้องฟ้า

นักดาราศาสตร์เรียกขานการพบกันครั้งนั้นว่า สุริยุปราคา

..แล้วท้องฟ้าก็แปรเปลี่ยนสีไป

 

ในจักรวาลของคุณ สุริยุปราคาอาจทำให้ฟ้ามืดมิดได้เพียงชั่วคราว

แต่ในจักรวาลของผม สุริยุปราคาทำให้ฟ้ามืดดับตราบนิจนิรันดร์

 

การเคลื่อนตัวจากไปของดวงจันทร์

ทำให้เกิดปรากฏการณ์กับดาวเคราะห์พเนจรอย่างผม

 

นักพเนจรโง่เขลา.. ที่เคยเชื่อว่า ตนเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล

นักพเนจรโง่เขลา.. ที่เคยเชื่อว่า ดวงจันทร์จะต้องโคจรรอบเขาตลอดไป

 

แต่ทุกวัตถุในจักรวาล ล้วนเคลื่อนไปตามแรงดึงดูดของกันและกัน

และในที่สุด ..ดวงจันทร์ก็เลือกที่จะเคลื่อนไปตามแรงและแสงแห่งดวงอาทิตย์

 

วันนี้ทุกการรับรู้ได้แปรเปลี่ยนไป

ผมไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล..

ไม่ใช่เพียงผมที่มีอิทธิพลต่อการโคจรของดวงจันทร์

แต่การโคจรของดวงจันทร์ก็มีผลต่อผมเช่นกัน

 

เมื่อดวงจันทร์โคจรจากไป

มันดึงให้สายน้ำเอ่อล้น รินไหล และแห้งเหือดไปในอวกาศ

 

ผมกลายเป็นเพียงดาวเคราะห์ที่แห้งแล้ง และมืดมิด

เมื่อดวงจันทร์กับดวงอาทิตย์โคจรจากไปแสนไกล

 

ผมกลายเป็นดาวอับแสงที่ล่องลอยเรื่อยไปในจักรวาล

และตั้งคำถามกับตัวเองว่า ผมเป็นอะไรในจักรวาลแห่งนี้

 

 

เพราะไม่มีใครที่จะเข้าใจจักรวาล..

 

 

เมื่อคุณส่องกล้องขึ้นไปบนท้องฟ้า แล้วปรากฏดาวที่ไร้แสงสว่าง และความหมาย

 

 

คุณว่า.. ดวงดาวมีความรู้สึกไหม?

 

 

 
http://www.ijigg.com/jiggPlayer.swf?Autoplay=0&songID=V2ACBBBEPB0

 

 

 

แด่ปี 2009 – ปีดาราศาสตร์สากล


 

————————————————————————————

 

ปล.ขอขอบคุณข้อมูลทางดาราศาสตร์และจักรวาลวิทยา จาก wikipedia

ปล.2 เรื่องนี้เขียนใน ตุ้ยนุ้ย โปรเจ็คท์ ที่ผลัดกันตั้งโจทย์ ผลัดกันเขียนกับ ตุ้ย ที่ exteen

ตอนแรกคิดว่าจะไม่เอามาลง Space แต่ตอนหลังอดใจไม่ไหว ห้ามใจไม่ได้

: )

 

 

 

ตุ้ยนุ้ย โปรเจ็คท์

 
ตอนนี้เขียนบล๊อกร่วมกับตุ้ยอยู่ที่ exteen.com ครับ เป็นโปรเจ็คท์แบบผลัดกันตั้งโจทย์ ผลัดกันเขียน
 
ติดตามโปรเจ็คท์ฝึกหัดของ 2 บล๊อกเกอร์อ่อนหัดได้ที่
 
 
 
 
: )

โอกาส

 

ผมเจอเธอในตอนเช้า..หลายต่อหลายครั้ง

 

เป็นเพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้เธอดูสะดุดตากว่าคนอื่น

อาจเป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ดูเป็นพนักงานออฟฟิศ

..แบบที่รู้สึกได้ว่าเธอเป็นจริงๆ 

 

ไม่ต้องแต่งตัวสวยเกินไป

ไม่ต้องแต่งหน้าจัดๆ

ไม่ต้องทำตัวดูฉลาดอยู่ตลอดเวลา

..แต่ก็รู้สึกได้ว่า เธอเป็นคนมีความคิด

 

เราจะเจอกันบนรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทที่ออกจากสถานีสยาม

หลังจากผมเปลี่ยนเส้นทางจากสายวงเวียนใหญ่ เพื่อไปลงสถานีทองหล่อ

 

ส่วนเธอมาจากไหน ผมไม่อาจทราบได้

..ผมรู้แค่ว่า เธอจะลงที่สถานีชิดลม

 

เรามีโอกาสได้พบกัน แค่วันละไม่เกิน 1 สถานี

 

ผมไม่เคยคิดเลยว่า จะต้องไปถึงที่นั่นกี่โมง จะต้องเข้าโบกี้ไหน จะต้องเข้าประตูบานที่เท่าไหร่

แค่ผมเดินมาถึง หยุดรอรถไฟฟ้าตามแต่ใจตัวเองในแต่ละวัน

..แต่ผมก็ไม่รู้ว่า ทำไมผมถึงเจอเธอเกือบทุกวัน 

 

วันนี้ผมมาสายกว่าปกติถึง 15 นาที 

แต่เหมือนฟ้าเล่นตลก แกล้งให้ผมตกใจ

..เช้านี้ผมก็เจอเธออีกครั้ง

 

เธอคล้ายๆจะยังเหมือนเดิม..

ไม่แต่งตัวสวยเกินไป

ไม่แต่งหน้าจัดๆ

ไม่ทำตัวดูฉลาดอยู่ตลอดเวลา

 

 

..แต่วันนี้เธอน่ารักเป็นบ้า !!!

 

 

ผมเชื่อว่า บางสิ่งก็ฟ้าก็กำหนดมา บางสิ่งเราก็ต้องไขว่คว้าเอาไว้เอง

ฟ้ามักนำเสนอโอกาสมาให้ แต่เราจะเป็นคนตัดสินใจเลือก..

 

ผมเชื่อจริงๆว่า ..ฟ้ามีหน้าที่แค่นำพาคนบางคนให้มาพบกันเท่านั้น

..หลังจากนั้นเราเองต้องเป็นคนตัดสินใจว่า จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร?

 

แล้วผมจะทำยังไง?

 

ผมแอบคิดไปว่า..

ถ้าพรุ่งนี้ผมจะไม่ได้พบเธออีก..

ถ้าวันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของผม..

ไม่ใช่สิ ..ถ้าวันนี้เป็นโอกาสเดียวของผม

 

 

ผมเหลือบมองเธอ ขณะที่รถไฟฟ้ากำลังจะเข้าเทียบชานชาลาสถานีชิดลม

 

..

..

ประตูกำลังจะเปิดออก

..

..

 

 

 

 

บางครั้งก็โอกาสก็เข้ามาหาเรา…

 

..

..

..

..

..

 

..เพียงเพื่อให้เราปล่อยมันผ่านไป

 

Restart

 

วันนี้ง่วนกับการตัดต่อไฟล์VDOของโชว์ชุดหนึ่ง เพื่อจะเอาไปนำเสนอลูกค้าพรุ่งนี้

โดยจะต้องตัดต่อไฟล์ที่มีความยาว 30 นาทีให้เหลือแค่ 1 นาที

ความยากของการตัดต่อนั่นไม่เท่าไหร่หรอกครับ

แต่ที่หนักหนาเอาการอยู่ก็คือ มันไม่สามารถ export ไฟล์ได้ซะที

 

อยู่ดีๆก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนคนนึงที่เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์เคยบอกไว้

"ทำอะไรไม่ได้ก็ลอง Restart ดู"

ผมรู้สึกลังเลในใจ เพราะงานก็ยังคั่งค้างอยู่บนหน้าจอมากมาย

สุดท้ายก็ตัดสินใจไล่saveไฟล์ทีละงานๆ แล้วก็กด Restart เครื่องดู

 

พอเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ ผมเอาไฟล์VDOที่ตัดต่อค้างไว้ลอง export ดู

ปรากฏว่าไม่กี่นาที ไฟล์นั้นก็ export สำเร็จเรียบร้อย หลังจากที่ผมพยายาม export มันอยู่เป็นชั่วโมงๆ

 

เพื่อนผมคนนั้นเคยอธิบายไว้คร่าวๆประมาณว่า การที่เราเปิดคอมพิวเตอร์ทำนั่นนู่นนี่นานๆ

เมื่อผ่านการทำงานมากๆ เครื่องมันก็ล้าเป็นเรื่องธรรมดา

บางครั้งมันก็ออกอาการหงุดหงิด ทำอะไรได้ไม่เต็มที่ 

 

บางครั้งถึงงานจะเร่งยังไง แต่ถ้าเร่งตัวเองเกินไป ไม่หยุดพักผ่อนบ้าง

งานก็พาลจะชะงัก รอยหยักในสมองก็อาจจะฝ่อลงไปได้

 

คอมพิวเตอร์ยังต้องการพักผ่อนในบางเวลา แล้วนับประสาอะไรกับคนเรา

 

 

..Restart ตัวเองบ้างนะครับ

^_^

สนานจิต บางสะพาน

 

ความคิดยังวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ได้จากการไปงาน "คนรุ่นเราในเงาเวลาของ’รงค์ วงษ์สวรรค์" มาครับ

แต่ความจริงแล้ว นอกจากงานสนทนา ก็ยังมีการจัดนิทรรศการภาพถ่าย"Bridge:สะพานเชื่อมยุคสมัยของ’รงค์ วงษ์สวรรค์"

 

ตอนที่ผมนั่งรถข้ามสะพานพุทธฯไปงาน ผมก็มองผ่านกระจกรถออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา

แล้วย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่ผมเคยใกล้ชิดกับ"สะพาน"มากกว่านี้

 

วันนี้เลยลองกลับมานั่งรำลึกความหลังถึงบาง"สะพาน" ที่ผมเคยร่วมสนุกสนานสำราญจิตใจ

 

ตอนผมเด็กๆ ทุกปิดเทอมผมจะไปอาศัยอยู่บ้านป้าที่แถวๆโรงพยาบาลหัวเฉียว

สะพานที่ผมใกล้ชิดที่สุดยามประถมวัย เป็นสะพานไม้เก่าๆ ที่พาดข้ามคลองมหานาค สามารถลัดทะลุด้านหลังของตลาดโบ๊เบ๊ได้

สะพานไม้นั้นมีอายุเท่าไหร่ ผมไม่อาจทราบได้ แต่มันยังดูแข็งแรงดี ขนาดที่ว่า มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านได้หลายคัน

ผมจำได้ว่า บางบ่ายที่น่าเบื่อ ผมจะชักชวนเพื่อนๆ เดินข้ามมันไป เพื่อหาอะไรสนุกๆทำ

บ้านแถวนั้นเป็นบ้านไม้ ต่างกับบ้านของผมกับเพื่อนๆที่เป็นห้องแถวปูนที่มีประตูเลื่อนเหล็กบานใหญ่

ผู้คนแถวนี้ก็ไม่ใช่คนไทยเชื้อสายจีนเหมือนละแวกบ้านป้าผม ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยจริงๆซะมากกว่า

แค่การเดินเที่ยวชมผู้คนในละแวกนั้น ก็ทำให้ผมหายเบื่อได้แล้ว

 

พอเข้าช่วงมัธยมต้น ผมก็อัพเกรดตัวเองจากสะพานไม้ไปสู่"สะพานเหล็ก"

เด็กมัธยมในยุคสมัยผมคงรู้จักสะพานเหล็กดีกว่าเด็กในยุคสมัยนี้ ที่ดูจะคุ้นเคยกับพันธ์ทิพย์หรือฟอร์จูนมากกว่า

สะพานเหล็กในยุคนั้น(ไม่รู้ว่ายุคนี้ด้วยหรือเปล่า?)เต็มไปด้วยเกมส์ การ์ตูน ของเล่น และความบันเทิงเริงใจสำหรับเด็กชาย

ใครก็ตามที่มีเกมส์บอยไว้ในครอบครอง มีเพลย์สเตชั่นตั้งตระหง่านอยู่กลางบ้าน จะกลายเป็นเด็กชายที่มีเพื่อนมากมายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

..แต่ไม่ใช่ผมหรอกครับ

ผมไปเดินสะพานเหล็กทุกครั้ง ก็แทบจะเสียแต่ค่ารถเมล์เท่านั้น ไม่เคยได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย

ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนประหยัด แต่กำลังทรัพย์มันไม่พอที่จะซื้ออะไร

การเดินวนรอบสะพานเหล็ก กวาดสายตาไล่ไปทีละร้าน ดูตัวการ์ตูนที่ออกใหม่ เกมส์ใหม่ที่เขาเปิดเล่นกัน

..แค่นั้นก็ทำให้ผมมีความสุขแล้ว

ระยะหลังๆที่ผมเดินสะพานเหล็ก เป็นช่วงที่ผมเปลี่ยนถ่ายความสนใจจาก"เกมส์"ไปสู่"เพลง"

สะพานเหล็กยังเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ด้วยการหยิบยื่น"Peacock"หรือเทปผีเพลงฝรั่งในยุคก่อน MP3 ระบาด

..หลังจากเคยเอาเกมส์ใหม่ๆมาให้ผมเปิดตา ก็เอาเพลงใหม่ๆมาให้ผมเปิดหู

 

เวลาล่วงเข้าช่วงมัธยมปลาย ผมก็เริ่มย้ายสะพานไปประจำการสะพานที่ใหญ่กว่า ที่พาดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา

..สะพานนั้นคือสะพานปิ่นเกล้า

ผมรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนชอบเดินก็ช่วงมัธยมปลายนี่แหละครับ

ผมจำได้ว่า เคยเดินจากเซ็นทรัลปิ่นเกล้า กลับบ้านที่ย่านหัวลำโพง

..ไม่ใช่เพราะไม่มีตังค์

..แต่เพราะไม่มีอะไรทำต่างหาก

ผมชอบเวลาที่เดินข้ามฝั่งแม่น้ำ แล้วยืนหยุดอยู่กลางสะพาน เพื่อมองทุกอย่างแล่นไปไหลมา

..มันเป็นเวลาที่น่าจดจำ

 

และแล้วก็ผ่านเวลาพ้นช่วงเวลา จนมาถึงสมัยมหาวิทยาลัย

ช่วงนี้ผมมีเพื่อนใหม่เป็นสะพานพระราม8 ครับ

ถ้ามีให้เลือกสะพานในกรุงเทพมหานครที่น่ามองที่สุดในยามราตรี ผมว่า คงไม่หนีสะพานพระราม8ไปได้

..ผมมักจะชวนเพื่อนไปยืนตากลม ชมไฟบนสะพานพระราม8 ด้วยเหตุผลว่า มันทั้งสวย และก็เงียบสงบดี

วิวธนาคารแห่งประเทศไทยยามค่ำคืนนั้น สวยมาก ถ้าหากใครยังไม่เคยมอง ก็ควรลองไปดูกัน

สะพานพระราม8 แตกต่างจากสะพานปิ่นเกล้าเรื่องความพลุกพล่าน เพราะมันสงบกว่ามากทีเดียว

ครั้งหนึ่ง ผมเคยลองท้าเพื่อนให้ไปนอนบนพื้นถนนบนสะพานพระราม8

คืนนั้น เพื่อนไม่ทำครับ ..แต่ผมทำ

ผมปีนข้ามรั้วที่กั้นระหว่างถนนกับราวสะพาน แล้วลงไปนอนหงายหลับตา นับ1-5อยู่กลางถนน

พอนับครบ 5 ผมก็ลุกปีนกลับมาตรงราวสะพาน

..แล้วชีวิตก็ผ่าน ข้ามช่วงที่บ้าบิ่นแบบนั้นไป

 

สำหรับช่วงชีวิตนี้ของผม ถึงจะต้องเจอกับสะพานทุกวัน แต่ก็เหมือนห่างกันแสนไกล

ผมข้ามสะพานทุกวัน แต่ไม่เคยได้สัมผัสเท้าลงไปบนสะพานเหล่านั้น

หากเป็นไปได้ ผมอยากลองหาเวลา กลับไปทำความคุ้นเคยกับสะพาน อีกหลายๆสะพาน

..เผื่อมันจะทำให้ผมสนุกสนานกับชีวิตมากขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้

 

ช่วงชีวิตของคนเราก็เหมือนกับสะพานบางสะพาน ..ที่เราต้องข้ามมันไปให้ได้

คุณอาจจะเดินเร็ว หรือเดินช้า อาจเหนื่อยล้า หรือมุ่งมั่น

..แต่เราก็รู้ว่า เราจะต้องเดินผ่านมันไป

..เพื่อไปยังอีกหลายๆสะพาน

 

 

ปล.รูปนี้ ผมถ่ายจากมุมหนึ่งของบันไดที่เดินขึ้นสะพานปิ่นเกล้า

ผมชอบที่บางส่วนของสะพาน มันปิดชื่อสะพานจนเห็นเป็นคำว่า "ล้า" พอดี

หากเราเดินลง เราคงไม่เห็นคำว่า"ล้า"

แต่หากเราเดินขึ้นมา เราก็อาจจะเห็นมัน..

แล้วเราควรตั้งจุดมุ่งหมายไว้ที่ไหน? ด้านบนหรือด้านล่าง?

เรื่องเบาๆ

 

..เคยมีคนบอกว่า ถ้าเรามองหา เราก็จะมองเห็น

พอผมแกว่งตาหาเรื่องที่จะมาเล่า ก็เลยเจอเรื่องที่จะเอามาเขียน..

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปจัดงานประชุมด้าน Technic ของ Coke มาครับ (Coke Thailand นะครับ ไม่ใช่ ไทยน้ำทิพย์)

เป็นการประชุมในภูมิภาคเอเชียหรือเรียกว่า ATOC (Asia Technical Operations Council)

การประชุมครั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆครับ ซึ่งผมเองก็พอฟังได้บ้าง

แต่ด้วยความที่ว่า มันเป็นเรื่องค่อนข้างวิชาการ ไม่ใช่ภาษาธรรมดาที่เราพูดกัน ก็เลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่

การประชุมครั้งนี้มีชื่อที่ยาวเหยียดมากครับ ใช้ชื่อว่า

"Delivering Supply Chain Productivity in Challenging Times"

คร่าวๆก็คือ เป็นการประชุมเกี่ยวกับโปรเจคต์ด้านเทคนิคที่จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ

..แล้วก็เอาโปรเจคต์มาแชร์กันว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทนี้ทำอย่างนี้อย่างนั้น

คำนวณออกมาแล้วแต่ละโปรเจคต์ลดต้นทุนได้เท่าไหร่กันบ้าง?

 

ขออนุญาตอธิบายเรื่องการลดต้นทุนทางด้าน Technic ซักเล็กน้อยครับว่าเขาคุยกันเกี่ยวอะไรบ้าง?

ตัวอย่างชัดๆที่น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องจำนวนเกลียวของขวดน้ำพลาสติกครับ

คือในอดีตขวดพลาสติกของ Coke จะมีเกลียว 3 ชั้น แต่ปัจจุบันเกลียวของขวดเหลือแค่ 2 ชั้นครับ

คนก็อาจจะงงว่า แค่ลดจำนวนเกลียวแล้วมันลดต้นทุนได้ยังไง

คำตอบก็คือ พวกเขาสามารถลดพลาสติกที่ใช้ในการทำเกลียวอีก 1 ชั้นนั่นแหละครับ

และในปีนั้น Coke ทั่วโลกสามารถลดต้นทุนการผลิตได้หลายล้านUSD เลยทีเดียว !!! 

 

งานประชุมเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับคนทำ event

แล้วยิ่งการประชุมแบบไร้ Subtitle กับคนทำ event ที่ฟังภาษาอังกฤษได้ในระดับปานกลาง

..เป็นอะไรที่น่าเบื่อสุดๆครับ

 

แต่เรื่องที่จะหยิบมาเล่า เป็น"เรื่องเบาๆ" ที่ทำให้เอาผมตาสว่างตั้งใจฟังกันเลยทีเดียว

เรื่องนี้ มาจาก Coco-Cola WEST ประเทศญี่ปุ่นครับ

เขาใช้ชื่อโปรเจคต์ว่า "Japan’s Lightest PET Bottle"

หรือแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า "ขวดพลาสติกที่เบาที่สุดในญี่ปุ่น" อะไรประมาณนี้

 

 

พอพี่ยุ่นแกเริ่ม Present ฝรั่งหัวทองก็ตื่นตาตื่นใจกันเป็นแถวครับ

พี่ยุ่นแกเริ่มด้วยการเอา I-LOHAS ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำดื่มของ Coca-Cola ในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งไว้บนโต๊ะ

 

 

 

บนโต๊ะในห้องประชุมทุกโต๊ะจะมี I-LOHAS 2 ขวดตั้งอยู่ครับ

ขวดนึงมีน้ำเต็มขวด แบบพร้อมจำหน่าย อีกขวดนึงเป็นขวดเปล่า ไม่มีน้ำ ไม่มีฉลาก ไม่มีฝา

 

พี่ยุ่นแกก็ฉายสไลด์เกี่ยวกับโครงสร้างของขวดที่ว่านี้ให้ดู ถึงขั้นตอนการออกแบบ ว่าตรงไหนเป็นอะไรยังไงคร่าวๆ

แกบอกว่า ขวดนี้ยืดหยุ่นสูงมาก เพราะมีโครงสร้างแบบสปริงครับ !!

แกเอานิ้วจิ้มลงไปตรงฝาครับ แล้วออกแรงกดขวดที่มีน้ำอยู่ลงไปนิดนึง

เราเห็นขวดน้ำยวบลงไปตามแรงกดเล็กน้อยครับ แล้วพี่ยุ่นแกก็ปล่อยขวดมันก็คืนสภาพเดิม

แต่ยังไม่พอครับพี่ยุ่นแกจับขวดด้วยสองมือ แล้วงอเบาๆ

ขวดนั้นก็งอไปด้วยครับ

 

ฝรั่งงง ผมก็งงครับ

..และคิดว่าอีกหลายคนก็คงจะงง

 

พี่ยุ่นก็เลยอธิบายว่า การที่ขวดมีความยืดหยุ่นดีนั้นเป็นข้อดีครับ

นั่นก็คือถ้าขวดยืดหยุ่นดี อัตราความเสียหายจากการกระแทกในการขนส่ง ก็จะลดลง

นั่นหมายความว่า ขวดน้ำทุกขวด และน้ำทุกหยด ก็จะส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ไม่มีการสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์

 

จบจากขวดที่มีน้ำเต็มไปแล้ว พี่ยุ่นแกก็มาเริ่มที่ขวดเปล่าครับ

แกหยิบขวดเปล่าขึ้นมาบิด แล้วก็บิด (ดูVDOประกอบครับ) 

 

 

ฝรั่งอึ้งครับ !!

 

พอบิดเสร็จ พี่ยุ่นแกก็ทำหน้าตาเรียบเฉยพร้อมอธิบายว่า นี่คือวิธีลดปริมาตรของขวด เมื่อมันกลายเป็นขยะ

พี่ยุ่นแกอธิบายว่า นอกจากเราจะสามารถลดต้นทุนของเราได้แล้ว

มันสามารถช่วยลดต้นทุนของการเก็บขยะมารีไซเคิลได้ด้วย

เพราะมันสามาถบิดได้จนเหลือขนาดเล็กมาก (ดูภาพประกอบครับ)

 

 

พี่ยุ่นแกบอกว่า นีคือนวัตกรรมที่เราสามารถคืนให้สังคมได้ นอกเหนือจากกิจกรรม CSR ที่ทุกองค์กรกำลังตื่นตัว

 

และมาถึงไฮไลท์ของเจ้าขวดนี้ครับ

เจ้าขวดนี้มีน้ำหนักเพียงแค่ 12 กรัม เบากว่าขวดพลาสติกทั่วไปถึง 40% !!

 

ทุกคนอาจจะกำลังคำนวณว่า มันลดต้นทุนพลาสติกไปได้เท่าไหร่?

แต่พี่ยุ่นแกไม่ได้คิดแค่นั้นครับ

พี่ยุ่นอธิบายว่า การลดน้ำหนักของขวดนั้น ไม่ใช่แค่การลดขนาดของขวด

สิ่งที่หายไป จึงไม่ใช่แค่พลาสติก แต่เป็นน้ำหนัก

 

แล้วน้ำหนักมาเกี่ยวอะไร?

 

คำตอบก็คือ น้ำหนักที่เบาของเจ้าขวดนี้ ทำให้พวกเขาสามารถลดจำนวนการขนส่งได้ครับ..

ลดจำนวนการขนส่ง = ลดต้นทุนการขนส่ง = ลดการใช้น้ำมัน

 

โปรเจคต์ลดต้นทุนอื่นๆที่นำเสนอกัน สามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 2-3 ล้าน USD ต่อปีครับ

แต่ "Japan’s Lightest PET Bottle" สามารถลดต้นทุนได้ถึง 23 ล้าน USD ต่อปี !!!

 

ตอนนี้ขวดนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนวิจัยและพัฒนา เพื่อนำไปใช้กับน้ำอัดลมครับ

ซึ่งทางผู้ผลิตก็จะต้องคำนึงถึงการรักษาความซ่าของน้ำอัดลมไว้ด้วย ก็เลยต้องใช้เวลาหน่อย

..แต่ถ้าทำได้ นั่นก็หมายความว่า เราจะสามารถประหยัดพลาสติก และน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกมากโขทีเดียว

 

บางคนอาจจะคิดว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้เป็นแค่การลดต้นทุนการผลิตขององค์กรธุรกิจองค์กรหนึ่งเท่านั้น

..มันไม่ได้เกิดจากความคิดที่ช่วยเหลือเรื่องสิ่งแวดล้อมใดๆ จากองค์กรทางสังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

แต่ผมอยากให้ลองมองถึงผลที่เกิดขึ้นมากกว่า

ถึงแม้โครงการนี้จะเป็นโครงการของภาคธุรกิจ

แต่มันได้สะท้อนให้เราเห็นถึงความพยายามในการ"ลด"การใช้ทรัพยากร

และทำให้เราตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

 

ใครจะไปคิดว่าแค่เราลดน้ำหนักของอะไรบางอย่าง..

เราก็สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้แล้ว

 

http://www.ijigg.com/jiggplayer.swf?Autoplay=1&songID=V2C0D7D7PAD