โลก..(ไม่ใช่)ของเรา

 

บันทึกการเดินทาง ‘ไม้-เมือง-ร้อน’ : วันเสาร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2552

 

ก่อนที่จะตัดสินใจสมัครทริปนี้ เพื่อติดสอยห้อยตามพี่ก้อง-ทรงกลด บางยี่ขันกับอ.ยงยุทธ จรรยารักษ์ ไปเรียนรู้เรื่องโลกร้อน

ผมเคยสงสัยว่า ผมจะได้รู้จริงๆหรือว่า ความจริงแล้ว ปัญหาโลกร้อนเกิดจากอะไร? และเราจะแก้มันได้อย่างไร?

 

แต่หลังจาก ผมกลับจากการเดินทาง ผมก็คิดเปลี่ยนไป

ผมคิดว่า เรากล้าพอที่จะยอมรับหรือเปล่าว่าปัญหาเกิดจากอะไร?

และที่สำคัญ เราพร้อมที่จะแก้มันหรือเปล่า?

 

ในช่วงท้ายของการเดินทาง อ.ยงยุทธบอกว่า คนเราน่าจะมีเรื่องต่างๆ"ในสายตาของข้าพเจ้า"ตลอด

นี่อาจจะเป็นกระบวนการคิดของอาจารย์ คือให้เราพยายามคิดตาม และถามตัวเองว่า เราคิดอย่างไรกับเรื่องนั้นเรื่องนี้

ต้องคำถามให้มาก และตอบคำถามให้ได้

 

มีประเด็นนึงที่อาจารย์พูดไว้ได้น่าสนใจมาก มากเสียจนผมตั้งใจเลยว่า จะต้องเขียนเรื่องนี้เป็นประเด็นหลักในบันทึกชิ้นนี้

"มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ชอบยึดครอง และคิดว่าตนเองเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง

..และที่อันตรายก็คือ เรายึดแล้วไม่คืน"

 

ตอนที่อาจารย์พูดถึงประเด็นนึ้ ผมนึกถึงโฆษณาชิ้นนึงที่พี่ก้องเคยพูดถึงในเว็บไซต์ www.lonelytrees.net

ภาพลูกโลกที่ดูคล้ายก้อนสมองของมนุษย์ และข้อความด้านล่างที่เขียนว่า "Climate Change Starts Here." ปรากฏในสมองของผม

 

ปัญหาต่างๆไม่ได้เกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์หรอกครับ

..แต่เกิดจากทัศนคติของพวกเราต่างหาก

 

ตอนเด็กๆผมเคยคิดว่า โลกใบนี้กว้างใหญ่

แต่พอโตขึ้นว่า ผมกลับมองว่า โลกใบนี้มันเสมือนว่ามันเล็กลง

..เพราะมนุษย์ได้เข้ายึดของทุกพื้นที่บนโลกใบนี้ไปเสียแล้ว

..รวมไปถึงทุกสิ่ง ทุกอย่างที่อยู่บนโลกใบนี้ด้วย

 

ทุกครั้งที่เราใช้ไฟฟ้า ใช้น้ำประปา ใช้กระดาษ ใช้น้ำมัน ฯลฯ

เราก็คิดถึงแค่ว่า เราเป็นเจ้าของมัน เพราะเราได้"จ่าย"เพื่อครอบครองมันแล้ว

โดยที่เราไม่ได้คำนึงเลยว่า ความจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นของเรา

..และมันก็ไม่ได้เป็นของใครเลย

 

โลกใบนี้ไม่ใช่ของเรา..

และแม้เราไม่ได้เป็นเจ้าของ..

และแม้เราไม่มีสิทธิ์ครอบครอง..

..แต่เราก็สามารถดูแล และใส่ใจมันได้

 

เหมือนกับความรัก..

บางครั้งเราอาจมองความรักผิดไป

เราอยากจะเป็นเจ้าของ..

เราอยากจะยึดครองมันไว้..

แต่ท้ายที่สุด เราก็จะรู้ว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะรักนั่นก็คือ การดูแล ใส่ใจ และเข้าใจ

 

"ถ้าเราลองคุยกับสิ่งต่างๆรอบตัว ให้เวลากับมัน ทำความเข้าใจกับมัน ..เราก็จะรักมัน" นี่คืออีกหนึ่งความคิดจากอาจารย์

ทุกวันนี้ ..เราใช้เวลากับการพูดคุยทำความเข้าใจกับสิ่งต่างๆรอบตัวหรือยัง?

..หรือเราแค่ผ่านมันไปเฉยๆท่ามกลางโลกที่กำลังหมุนเร็วขึ้นใบนี้

เราลองหยุดหมุนตามกระแสสังคม แล้วนั่งลงมองสิ่งต่างๆรอบตัวดูบ้างมั้ยว่า มันเปลี่ยนไปแค่ไหน?

แล้วเราสามารถทำอะไร เพื่อให้มันดีขึ้นได้บ้าง? 

 

เพราะเราสามารถทำความเข้าใจ เอาใจใส่ และเกื้อกูลกันได้

ทุกชีวิตอยู่ร่วมกันได้ด้วยความรัก..

 

อยู่ที่ว่าคุณพร้อมที่จะรักโลกใบนี้จริงๆแล้วหรือยัง?

 

 

 

..ถ้ายังไม่แน่ใจ

 

 

 

ลองเริ่มต้นจากรักใครสักคนดูสิครับ 

 

🙂

 

 

ecOnuizer

 

 

 

—————————————-

 

"April Truth’s Day"

 

สวัสดีครับผู้อ่านที่รักทุกท่าน

ผม ทรงกลด บางยี่ขัน ครับ : )
ผมมีกิจกรรมสนุกๆ มาเล่าสู่กันทำครับ

เรื่องมันเริ่มต้นจากการเดินทางที่ชื่อ ‘ไม้-เมือง-ร้อน’ เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ครั้งนั้นอาจารย์ยงยุทธ จรรยารักษ์พาผู้ร่วมเดินทางไปถ่ายทอดเรื่องราวกับเกี่ยวกับโลกร้อน
ในมุมที่ง่ายดาย ใกล้ตัว แต่ไม่น่าจะเคยได้ยินที่ไหน
พ่วงด้วยเรื่องราวของภูมิปัญญาแบบวิถีไทยที่แสนจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเรากลับหนีห่างจากมันออกไปเรื่อยๆ
ผู้ร่วมเดินทางทุกคนมีสัญญาใจกันว่า กลับมาแล้วจะช่วยกันเผยแพร่ข้อมูลเหล่านี้ตามวิธีที่ถนัด
ส่วนใหญ่เน้นบอกเล่ากันผ่านเว็บไซต์ เราเลยนัดแนะกันว่า
จะอัพโหลดเรื่องราวทั้งหมดขึ้นเว็บ (รวมถึงทำกิจกรรมรูปแบบอื่น) พร้อมๆ กัน
ตั้งแต่เวลา 00.01 น.ของวันที่ 1 เมษายน 2552 หรือวัน April Fool’s Day
วันที่ผู้คนสนุกสนานกับการเล่าความเท็จ
เราจะพูดความจริงกันครับ

แคมเปญนี้มีชื่อว่า April Truth’s Day
ลองนึกดูสิครับว่า ถ้าในวันนั้น อยู่ดีๆ เว็บไซต์และบล็อกหลายสิบ หลายร้อยแห่งเขียนถึงเรื่องเดียวกัน
อีเมลมากมายถูกส่งออกไปเล่าเรื่องเดียวกัน
โปสการ์ดจำนวนมากถูกส่งออกไปเพื่อถ่ายทอดเรื่องเดียวกัน
ครูในโรงเรียนสอนเรื่องเดียวกัน
บอร์ดในออฟฟิศแปะเรื่องเดียวกัน
หนังสือพิมพ์เขียนเรื่องเดียวกัน
รายการวิทยุพูดเรื่องเดียวกัน
รายการโทรทัศน์นำเสนอเรื่องเดียวกัน
ทุกคนพูดเรื่องเดียวกัน
มันจะมีพลังขนาดไหน
การที่คนต่างเพศ ต่างวัย ต่างอาชีพ ต่างความสนใจ และไม่เคยรู้จักกันมาก่อน
มาพูดเรื่องเดียวกัน ด้วยความปรารถนาเดียวกัน คืออยากเห็นโลกดีขึ้น
มันจะมีพลังขนาดไหน

ผมก็เลยอยากชวนทุกคนมาร่วมสนุกในแคมเปญนี้ร่วมกันครับ
จะเขียนถึงแคมเปญนี้เฉยๆ ก็ได้
หรือจะเขียนด้วยการนำเนื้อหาที่ผู้ร่วมทริปเขียนไปเผยแพร่ต่อก็ได้
เข้าไปเลือกเรื่องที่สนใจจะนำไปเล่าต่อได้ที่นี่
งานเขียนทั้งหมดในโครงการนี้เป็น creative common ครับ
คืออนุญาตให้ผู้อื่นนำไปเผยแพร่ต่อได้ โดยไม่นำไปใช้เพื่อการค้า
แค่อ้างชื่อผู้เขียนเสียหน่อยก็พอ
เรื่องดีๆ สมควรถูกขยายผลต่อไปอย่างไม่รู้จบครับ

ผมตั้งใจว่า จะชวนทุกคนร่วมแคมเปญนี้ทุกปีในวันที่ 1 เมษายน
ในวันที่มีแต่คนพูดเรื่องลวง
เราจะมาร่วมพูดเรื่องจริงกันครับ : )

 

ทรงกลด บางยี่ขัน 

 

—————————————-

 

 

ติดตามความจริงเกี่ยวกับโลก ที่คนบนโลกควรรู้ได้ที่

www.lonelytrees.net

 

 

ความรักสั้น..แต่ความจำยาว

 

"ไม่ลืมนะ ไม่มีหรอก มีแต่ลืมช้า.. กับลืมเร็ว"

 

.

.

 

ผมว่า ทุกคนก็คงเคยเป็นกับคำพูดที่ว่า "อยากจำกลับลืม อยากลืมกลับจำ"

ความจริงแล้ว เรื่องที่"อยากจำกลับลืม"เนี่ย เรามักจะพบได้บ่อยมาก

แต่เรื่องมันส่งผลกระทบกับจิตใจเรามักจะเป็นเรื่องที่"อยากลืมกลับจำ"มากกว่า

..อาจเป็นเพราะเรื่องที่เราอยากจำ เราลืมมันไปแล้วก็ได้

 

 

ใครที่ไปดูหนังเรื่อง"ความจำสั้น..แต่รักฉันยาว"มาแล้ว ก็น่าจะประทับใจกับความรักแบบ"อยากจำกลับลืม"ของป้าสมพิศกับลุงจำรัสมากเป็นพิเศษ

..อาจเป็นเพราะความน่ารักของคู่รักคู่นี้ก็เป็นไปได้ ที่เป็นเสน่ห์ขับให้หนังเรื่องนี้ อบอุ่นและสวยงามขึ้นอีกเป็นกอง

 

ความรักที่เข้าใจในกันและกัน..

ความรักที่ยังคงอยู่ แม้จะไม่ได้อยู่ด้วยกันก็ตาม..

ความรักนั้นน่าจะฝังอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของคนทั้งสอง

..ไม่ว่าลุงจำรัสจะลืมมันไปหรือไม่ก็ตาม

 

ส่วนความรักแบบ"อยากลืมกลับจำ"นั้น ผมเชื่อว่า ทุกคนที่นั่งชมอยู่ น่าจะมีเรื่องบางเรื่องที่"อยากลืม(แต่)กลับจำ"ขึ้นมาได้ซะอย่างนั้น

..เหมือนคำโปรยของหนังเรื่อง"แฟนฉัน"ที่บอกไว้ว่า

ความทรงจำของเราไม่เคยหายไป เพียงแต่มันซุกตัวอยู่ในลิ้นชักใดลิ้นชักหนึ่ง

และรอเวลาที่จะถูกเปิดออกเท่านั้นเอง

 

..ผมว่า หนังเรื่องนี้คงเปิดลิ้นชักของใครหลายคน

 

รักครั้งแรกนั้นยากจะลืมเลือนไปจากความทรงจำของเรา

..ไม่ใช่ยากสิ แต่ไม่มีทางต่างหาก

 

เพราะบางครั้ง แม้ไม่ใช่รักครั้งแรก

..เราก็ยังไม่สามารถลบเลือนมันออกไปได้เลย

 

เรื่องราวในลิ้นชัก เป็นเพียงความรักที่จบลงไปแล้ว

..ไม่ว่าจะจบด้วยรอยยิ้ม หรือน้ำตา

..แต่ความทรงจำที่ว่า ยังฝังตัวอยู่ในลิ้นชักของเรา

 

ไม่ว่าความรักครั้งนั้น จะยาว หรือจะสั้น

..แต่เราก็รู้ว่า ความทรงจำนั้นจะยังคงอยู่

 

และบางครั้ง เมื่อเราเปิดลิ้นชัก มันก็ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับรอยน้ำตาของเรา..

 

 

 

เพราะในวินาทีหนึ่ง ภาพของเธอปรากฏขึ้นมา

 

 

.

.

 

 

 

"ไม่ลืมนะ ไม่มีหรอก มีแต่ลืมช้า.. กับลืมเร็ว"

 

 

 

 

 

 

..เรามันพวกลืมช้า

จุ ด เ ป ลี่ ย น

"ถ้าเรามองทุกอย่างเป็นจุด เราก็เห็นเป็นจุด

แต่ถ้าเราลากเส้นเชื่อมต่อทุกจุดเข้าด้วยกัน

เราก็จะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันกินพื้นที่กว้างขนาดไหน"

ดัดแปลงจากบทสัมภาษณ์ของ ไคลย์ เทเลอร์

 

 

ผมเฝ้ามองจุดต่างๆที่เกิดขึ้น

 

วันนี้มันถูกลากเส้นเชื่อมต่อกัน

 

พื้นที่ที่เกิดขึ้นนั้น อาจเรียกได้ว่า "เรื่องราวของผม"

 

.

.

 

จุดต่างๆบนชีวิตของผมมันถูกลากให้ผมเห็นชัดขึ้นบนลานหน้าศาลาว่ากรุงเทพมหานครนี่เอง

 

ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า จุดบางจุด เรื่องบางเรื่อง มันจะมีผลกระทบต่อชีวิตผม

ใช่.. ถ้าจุดเหล่านั้น ไม่ได้ถูกลากเส้นเชื่อมต่อกัน มันก็อาจจะไม่มีพลังที่กระทบต่อชีวิตผมได้มากขนาดนี้

เพียงแต่บางที เส้นที่ลากเชื่อมจุดเหล่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจริง ตามที่หลายคนเข้าใจ

 

คนบางคนนำจุดเหล่านั้น ขีดเส้นด้วยความรู้สึกของพวกเขาเอง

บางพื้นที่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง บางพื้นที่เกิดขึ้นจากเส้นสมมติของพวกเขา

 

.

.

 

สิ่งที่ผมทำได้มีเพียง การนั่งทบทวนจุดต่างๆที่ผมผ่านมา และสามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงได้

ผมไม่สามารถกลับไปเปลี่ยนแปลงเส้นที่คนบางคนขีดเพิ่มเติมขึ้นมา

..ไม่ว่ามันจะกินพื้นที่ของความไว้วางใจ ให้เหลือน้อยลงไปเท่าใดก็ตาม

 

.

.

 

ณ จุดหนึ่งก่อนหน้าการลากเส้นครั้งนี้

เป็นการเดินทางของผม ร่วมกับนักเขียนที่ชื่มชม ทรงกลด บางยี่ขัน

กับบุคคลที่ผมอยากรู้จัก อ.ยงยุทธ จรรยารักษ์

 

มีบางข้อความที่ถูกบอกกล่าวจากอ.ยงยุทธ และผมชื่นชอบมันมาก

ผมว่า มันเป็นข้อความที่สามารถเตือนสติใครหลายคนได้ดี

 

"มนุษย์ชอบยึดและคิดว่าตนเองเป็นเจ้าของทุกอย่าง ที่อันตรายก็คือ เรายึดแล้วเราไม่ยอมคืน"

 

ผมเคยคิดว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นก็เพราะสาเหตุนี้

 

..วันนี้ผมจึงได้รู้ว่า มันไม่ใช่แค่ปัญหาสิ่งแวดล้อม

แต่ปัญหาหลายๆอย่างเกิดขึ้น เพราะเรามักจะคิดว่า เราเป็นเจ้าของสิ่งนั้น สิ่งนี้

 

.

.

 

ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผมตอนนี้ ผมยอมรับว่า มันเกิดเพราะผมคิดว่า ผมเป็นเจ้าของอะไรบางอย่าง

และอย่างที่อ.ยงยุทธบอก พอมนุษย์คิดว่า เราเป็นเจ้าของ เราก็จะคิดว่าเรามีสิทธิเหนือสิ่งเหล่านั้น

เราจะคิดว่าเรามีอำนาจ และถ้าเรายังคิดไม่ได้ สุดท้ายเราก็จะบ้าอำนาจ

 

..จุดบางจุดที่ผมอยู่ ทำให้ผมคิดว่าผมเป็นเจ้าของบางอย่าง ผมมีสิทธิเหนือสิ่งๆนั้น

..แต่เมื่อวันนี้ ผมกลับไปมอง ณ จุดนั้น

..มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นของเรา

 

ผมคิดว่า ผมทุ่มเทให้กับมัน ผมควรจะเป็นเจ้าของมัน

ผมคิดว่า ผมใส่ความคิดของผมลงไปกับมัน ผมควรจะเป็นเจ้าของมัน

ผมคิดว่า มันเป็นความฝันของผม ผมควรจะเป็นเจ้าของมัน

..แต่แท้จริงแล้ว ผมไม่ได้เป็นเจ้าของมัน

..และมันก็จะเป็นเพียงสิ่งๆหนึ่งที่ผมเคยทำไว้เท่านั้น

 

วันนี้ผมลากเส้นเชื่อมจุดเหตุการณ์บนลานหน้าศาลาว่าการกรุงเทพฯกับจุดของคำสอนจากอ.ยงยุทธ

..มันเป็นเส้นที่ผมลากด้วยตัวผมเอง ไม่ใช่จากฝีมือของใคร

 

มันจะเกิดจุดๆใหม่ นอกเหนือพื้นที่ที่จะมันเคยครอบครองไว้

..แม้มันจะสละพื้นที่ที่ผมเคยคิดว่า ผมได้ครอบครองไว้

..แต่มันก็เป็นเส้นทางที่ผมเลือก เป็นจุดที่ผมได้กำหนดมันเอง

 

.

.

 

อีกจุดหนึ่งที่ผมเพิ่งได้รับมาตัวละครที่ชื่อแชสซี่จากหนังเรื่อง Push

"ฉันมองเห็นอนาคต ..แต่อนาคตก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา"

 

เราสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้

และผมตัดสินใจที่เปลี่ยนจุดๆหนึ่ง

 

 

และเมื่อเราเปลี่ยนจุดหนึ่ง

ชีวิตของเราก็จะเปลี่ยนไป..

 

 

 

..ตลอดกาล

 

 

 

ปล.สักวัน …ความฝันของผมจะกลับมา