..เคยมีคนบอกว่า ถ้าเรามองหา เราก็จะมองเห็น
พอผมแกว่งตาหาเรื่องที่จะมาเล่า ก็เลยเจอเรื่องที่จะเอามาเขียน..
สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปจัดงานประชุมด้าน Technic ของ Coke มาครับ (Coke Thailand นะครับ ไม่ใช่ ไทยน้ำทิพย์)
เป็นการประชุมในภูมิภาคเอเชียหรือเรียกว่า ATOC (Asia Technical Operations Council)
การประชุมครั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆครับ ซึ่งผมเองก็พอฟังได้บ้าง
แต่ด้วยความที่ว่า มันเป็นเรื่องค่อนข้างวิชาการ ไม่ใช่ภาษาธรรมดาที่เราพูดกัน ก็เลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
การประชุมครั้งนี้มีชื่อที่ยาวเหยียดมากครับ ใช้ชื่อว่า
"Delivering Supply Chain Productivity in Challenging Times"
คร่าวๆก็คือ เป็นการประชุมเกี่ยวกับโปรเจคต์ด้านเทคนิคที่จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ
..แล้วก็เอาโปรเจคต์มาแชร์กันว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทนี้ทำอย่างนี้อย่างนั้น
คำนวณออกมาแล้วแต่ละโปรเจคต์ลดต้นทุนได้เท่าไหร่กันบ้าง?
ขออนุญาตอธิบายเรื่องการลดต้นทุนทางด้าน Technic ซักเล็กน้อยครับว่าเขาคุยกันเกี่ยวอะไรบ้าง?
ตัวอย่างชัดๆที่น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องจำนวนเกลียวของขวดน้ำพลาสติกครับ
คือในอดีตขวดพลาสติกของ Coke จะมีเกลียว 3 ชั้น แต่ปัจจุบันเกลียวของขวดเหลือแค่ 2 ชั้นครับ
คนก็อาจจะงงว่า แค่ลดจำนวนเกลียวแล้วมันลดต้นทุนได้ยังไง
คำตอบก็คือ พวกเขาสามารถลดพลาสติกที่ใช้ในการทำเกลียวอีก 1 ชั้นนั่นแหละครับ
และในปีนั้น Coke ทั่วโลกสามารถลดต้นทุนการผลิตได้หลายล้านUSD เลยทีเดียว !!!
งานประชุมเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับคนทำ event
แล้วยิ่งการประชุมแบบไร้ Subtitle กับคนทำ event ที่ฟังภาษาอังกฤษได้ในระดับปานกลาง
..เป็นอะไรที่น่าเบื่อสุดๆครับ
แต่เรื่องที่จะหยิบมาเล่า เป็น"เรื่องเบาๆ" ที่ทำให้เอาผมตาสว่างตั้งใจฟังกันเลยทีเดียว
เรื่องนี้ มาจาก Coco-Cola WEST ประเทศญี่ปุ่นครับ
เขาใช้ชื่อโปรเจคต์ว่า "Japan’s Lightest PET Bottle"
หรือแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า "ขวดพลาสติกที่เบาที่สุดในญี่ปุ่น" อะไรประมาณนี้
พอพี่ยุ่นแกเริ่ม Present ฝรั่งหัวทองก็ตื่นตาตื่นใจกันเป็นแถวครับ
พี่ยุ่นแกเริ่มด้วยการเอา I-LOHAS ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำดื่มของ Coca-Cola ในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งไว้บนโต๊ะ
บนโต๊ะในห้องประชุมทุกโต๊ะจะมี I-LOHAS 2 ขวดตั้งอยู่ครับ
ขวดนึงมีน้ำเต็มขวด แบบพร้อมจำหน่าย อีกขวดนึงเป็นขวดเปล่า ไม่มีน้ำ ไม่มีฉลาก ไม่มีฝา
พี่ยุ่นแกก็ฉายสไลด์เกี่ยวกับโครงสร้างของขวดที่ว่านี้ให้ดู ถึงขั้นตอนการออกแบบ ว่าตรงไหนเป็นอะไรยังไงคร่าวๆ
แกบอกว่า ขวดนี้ยืดหยุ่นสูงมาก เพราะมีโครงสร้างแบบสปริงครับ !!
แกเอานิ้วจิ้มลงไปตรงฝาครับ แล้วออกแรงกดขวดที่มีน้ำอยู่ลงไปนิดนึง
เราเห็นขวดน้ำยวบลงไปตามแรงกดเล็กน้อยครับ แล้วพี่ยุ่นแกก็ปล่อยขวดมันก็คืนสภาพเดิม
แต่ยังไม่พอครับพี่ยุ่นแกจับขวดด้วยสองมือ แล้วงอเบาๆ
ขวดนั้นก็งอไปด้วยครับ
ฝรั่งงง ผมก็งงครับ
..และคิดว่าอีกหลายคนก็คงจะงง
พี่ยุ่นก็เลยอธิบายว่า การที่ขวดมีความยืดหยุ่นดีนั้นเป็นข้อดีครับ
นั่นก็คือถ้าขวดยืดหยุ่นดี อัตราความเสียหายจากการกระแทกในการขนส่ง ก็จะลดลง
นั่นหมายความว่า ขวดน้ำทุกขวด และน้ำทุกหยด ก็จะส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ไม่มีการสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์
จบจากขวดที่มีน้ำเต็มไปแล้ว พี่ยุ่นแกก็มาเริ่มที่ขวดเปล่าครับ
แกหยิบขวดเปล่าขึ้นมาบิด แล้วก็บิด (ดูVDOประกอบครับ)
ฝรั่งอึ้งครับ !!
พอบิดเสร็จ พี่ยุ่นแกก็ทำหน้าตาเรียบเฉยพร้อมอธิบายว่า นี่คือวิธีลดปริมาตรของขวด เมื่อมันกลายเป็นขยะ
พี่ยุ่นแกอธิบายว่า นอกจากเราจะสามารถลดต้นทุนของเราได้แล้ว
มันสามารถช่วยลดต้นทุนของการเก็บขยะมารีไซเคิลได้ด้วย
เพราะมันสามาถบิดได้จนเหลือขนาดเล็กมาก (ดูภาพประกอบครับ)
พี่ยุ่นแกบอกว่า นีคือนวัตกรรมที่เราสามารถคืนให้สังคมได้ นอกเหนือจากกิจกรรม CSR ที่ทุกองค์กรกำลังตื่นตัว
และมาถึงไฮไลท์ของเจ้าขวดนี้ครับ
เจ้าขวดนี้มีน้ำหนักเพียงแค่ 12 กรัม เบากว่าขวดพลาสติกทั่วไปถึง 40% !!
ทุกคนอาจจะกำลังคำนวณว่า มันลดต้นทุนพลาสติกไปได้เท่าไหร่?
แต่พี่ยุ่นแกไม่ได้คิดแค่นั้นครับ
พี่ยุ่นอธิบายว่า การลดน้ำหนักของขวดนั้น ไม่ใช่แค่การลดขนาดของขวด
สิ่งที่หายไป จึงไม่ใช่แค่พลาสติก แต่เป็นน้ำหนัก
แล้วน้ำหนักมาเกี่ยวอะไร?
คำตอบก็คือ น้ำหนักที่เบาของเจ้าขวดนี้ ทำให้พวกเขาสามารถลดจำนวนการขนส่งได้ครับ..
ลดจำนวนการขนส่ง = ลดต้นทุนการขนส่ง = ลดการใช้น้ำมัน
โปรเจคต์ลดต้นทุนอื่นๆที่นำเสนอกัน สามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 2-3 ล้าน USD ต่อปีครับ
แต่ "Japan’s Lightest PET Bottle" สามารถลดต้นทุนได้ถึง 23 ล้าน USD ต่อปี !!!
ตอนนี้ขวดนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนวิจัยและพัฒนา เพื่อนำไปใช้กับน้ำอัดลมครับ
ซึ่งทางผู้ผลิตก็จะต้องคำนึงถึงการรักษาความซ่าของน้ำอัดลมไว้ด้วย ก็เลยต้องใช้เวลาหน่อย
..แต่ถ้าทำได้ นั่นก็หมายความว่า เราจะสามารถประหยัดพลาสติก และน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกมากโขทีเดียว
บางคนอาจจะคิดว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้เป็นแค่การลดต้นทุนการผลิตขององค์กรธุรกิจองค์กรหนึ่งเท่านั้น
..มันไม่ได้เกิดจากความคิดที่ช่วยเหลือเรื่องสิ่งแวดล้อมใดๆ จากองค์กรทางสังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
แต่ผมอยากให้ลองมองถึงผลที่เกิดขึ้นมากกว่า
ถึงแม้โครงการนี้จะเป็นโครงการของภาคธุรกิจ
แต่มันได้สะท้อนให้เราเห็นถึงความพยายามในการ"ลด"การใช้ทรัพยากร
และทำให้เราตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
ใครจะไปคิดว่าแค่เราลดน้ำหนักของอะไรบางอย่าง..
เราก็สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้แล้ว
http://www.ijigg.com/jiggplayer.swf?Autoplay=1&songID=V2C0D7D7PAD