โอกาส

 

ผมเจอเธอในตอนเช้า..หลายต่อหลายครั้ง

 

เป็นเพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้เธอดูสะดุดตากว่าคนอื่น

อาจเป็นเพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ดูเป็นพนักงานออฟฟิศ

..แบบที่รู้สึกได้ว่าเธอเป็นจริงๆ 

 

ไม่ต้องแต่งตัวสวยเกินไป

ไม่ต้องแต่งหน้าจัดๆ

ไม่ต้องทำตัวดูฉลาดอยู่ตลอดเวลา

..แต่ก็รู้สึกได้ว่า เธอเป็นคนมีความคิด

 

เราจะเจอกันบนรถไฟฟ้าสายสุขุมวิทที่ออกจากสถานีสยาม

หลังจากผมเปลี่ยนเส้นทางจากสายวงเวียนใหญ่ เพื่อไปลงสถานีทองหล่อ

 

ส่วนเธอมาจากไหน ผมไม่อาจทราบได้

..ผมรู้แค่ว่า เธอจะลงที่สถานีชิดลม

 

เรามีโอกาสได้พบกัน แค่วันละไม่เกิน 1 สถานี

 

ผมไม่เคยคิดเลยว่า จะต้องไปถึงที่นั่นกี่โมง จะต้องเข้าโบกี้ไหน จะต้องเข้าประตูบานที่เท่าไหร่

แค่ผมเดินมาถึง หยุดรอรถไฟฟ้าตามแต่ใจตัวเองในแต่ละวัน

..แต่ผมก็ไม่รู้ว่า ทำไมผมถึงเจอเธอเกือบทุกวัน 

 

วันนี้ผมมาสายกว่าปกติถึง 15 นาที 

แต่เหมือนฟ้าเล่นตลก แกล้งให้ผมตกใจ

..เช้านี้ผมก็เจอเธออีกครั้ง

 

เธอคล้ายๆจะยังเหมือนเดิม..

ไม่แต่งตัวสวยเกินไป

ไม่แต่งหน้าจัดๆ

ไม่ทำตัวดูฉลาดอยู่ตลอดเวลา

 

 

..แต่วันนี้เธอน่ารักเป็นบ้า !!!

 

 

ผมเชื่อว่า บางสิ่งก็ฟ้าก็กำหนดมา บางสิ่งเราก็ต้องไขว่คว้าเอาไว้เอง

ฟ้ามักนำเสนอโอกาสมาให้ แต่เราจะเป็นคนตัดสินใจเลือก..

 

ผมเชื่อจริงๆว่า ..ฟ้ามีหน้าที่แค่นำพาคนบางคนให้มาพบกันเท่านั้น

..หลังจากนั้นเราเองต้องเป็นคนตัดสินใจว่า จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร?

 

แล้วผมจะทำยังไง?

 

ผมแอบคิดไปว่า..

ถ้าพรุ่งนี้ผมจะไม่ได้พบเธออีก..

ถ้าวันนี้เป็นโอกาสสุดท้ายของผม..

ไม่ใช่สิ ..ถ้าวันนี้เป็นโอกาสเดียวของผม

 

 

ผมเหลือบมองเธอ ขณะที่รถไฟฟ้ากำลังจะเข้าเทียบชานชาลาสถานีชิดลม

 

..

..

ประตูกำลังจะเปิดออก

..

..

 

 

 

 

บางครั้งก็โอกาสก็เข้ามาหาเรา…

 

..

..

..

..

..

 

..เพียงเพื่อให้เราปล่อยมันผ่านไป

 

Restart

 

วันนี้ง่วนกับการตัดต่อไฟล์VDOของโชว์ชุดหนึ่ง เพื่อจะเอาไปนำเสนอลูกค้าพรุ่งนี้

โดยจะต้องตัดต่อไฟล์ที่มีความยาว 30 นาทีให้เหลือแค่ 1 นาที

ความยากของการตัดต่อนั่นไม่เท่าไหร่หรอกครับ

แต่ที่หนักหนาเอาการอยู่ก็คือ มันไม่สามารถ export ไฟล์ได้ซะที

 

อยู่ดีๆก็นึกถึงคำพูดของเพื่อนคนนึงที่เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์เคยบอกไว้

"ทำอะไรไม่ได้ก็ลอง Restart ดู"

ผมรู้สึกลังเลในใจ เพราะงานก็ยังคั่งค้างอยู่บนหน้าจอมากมาย

สุดท้ายก็ตัดสินใจไล่saveไฟล์ทีละงานๆ แล้วก็กด Restart เครื่องดู

 

พอเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ ผมเอาไฟล์VDOที่ตัดต่อค้างไว้ลอง export ดู

ปรากฏว่าไม่กี่นาที ไฟล์นั้นก็ export สำเร็จเรียบร้อย หลังจากที่ผมพยายาม export มันอยู่เป็นชั่วโมงๆ

 

เพื่อนผมคนนั้นเคยอธิบายไว้คร่าวๆประมาณว่า การที่เราเปิดคอมพิวเตอร์ทำนั่นนู่นนี่นานๆ

เมื่อผ่านการทำงานมากๆ เครื่องมันก็ล้าเป็นเรื่องธรรมดา

บางครั้งมันก็ออกอาการหงุดหงิด ทำอะไรได้ไม่เต็มที่ 

 

บางครั้งถึงงานจะเร่งยังไง แต่ถ้าเร่งตัวเองเกินไป ไม่หยุดพักผ่อนบ้าง

งานก็พาลจะชะงัก รอยหยักในสมองก็อาจจะฝ่อลงไปได้

 

คอมพิวเตอร์ยังต้องการพักผ่อนในบางเวลา แล้วนับประสาอะไรกับคนเรา

 

 

..Restart ตัวเองบ้างนะครับ

^_^

สนานจิต บางสะพาน

 

ความคิดยังวนเวียนอยู่กับสิ่งที่ได้จากการไปงาน "คนรุ่นเราในเงาเวลาของ’รงค์ วงษ์สวรรค์" มาครับ

แต่ความจริงแล้ว นอกจากงานสนทนา ก็ยังมีการจัดนิทรรศการภาพถ่าย"Bridge:สะพานเชื่อมยุคสมัยของ’รงค์ วงษ์สวรรค์"

 

ตอนที่ผมนั่งรถข้ามสะพานพุทธฯไปงาน ผมก็มองผ่านกระจกรถออกไปยังแม่น้ำเจ้าพระยา

แล้วย้อนนึกถึงช่วงเวลาที่ผมเคยใกล้ชิดกับ"สะพาน"มากกว่านี้

 

วันนี้เลยลองกลับมานั่งรำลึกความหลังถึงบาง"สะพาน" ที่ผมเคยร่วมสนุกสนานสำราญจิตใจ

 

ตอนผมเด็กๆ ทุกปิดเทอมผมจะไปอาศัยอยู่บ้านป้าที่แถวๆโรงพยาบาลหัวเฉียว

สะพานที่ผมใกล้ชิดที่สุดยามประถมวัย เป็นสะพานไม้เก่าๆ ที่พาดข้ามคลองมหานาค สามารถลัดทะลุด้านหลังของตลาดโบ๊เบ๊ได้

สะพานไม้นั้นมีอายุเท่าไหร่ ผมไม่อาจทราบได้ แต่มันยังดูแข็งแรงดี ขนาดที่ว่า มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งผ่านได้หลายคัน

ผมจำได้ว่า บางบ่ายที่น่าเบื่อ ผมจะชักชวนเพื่อนๆ เดินข้ามมันไป เพื่อหาอะไรสนุกๆทำ

บ้านแถวนั้นเป็นบ้านไม้ ต่างกับบ้านของผมกับเพื่อนๆที่เป็นห้องแถวปูนที่มีประตูเลื่อนเหล็กบานใหญ่

ผู้คนแถวนี้ก็ไม่ใช่คนไทยเชื้อสายจีนเหมือนละแวกบ้านป้าผม ส่วนใหญ่จะเป็นคนไทยจริงๆซะมากกว่า

แค่การเดินเที่ยวชมผู้คนในละแวกนั้น ก็ทำให้ผมหายเบื่อได้แล้ว

 

พอเข้าช่วงมัธยมต้น ผมก็อัพเกรดตัวเองจากสะพานไม้ไปสู่"สะพานเหล็ก"

เด็กมัธยมในยุคสมัยผมคงรู้จักสะพานเหล็กดีกว่าเด็กในยุคสมัยนี้ ที่ดูจะคุ้นเคยกับพันธ์ทิพย์หรือฟอร์จูนมากกว่า

สะพานเหล็กในยุคนั้น(ไม่รู้ว่ายุคนี้ด้วยหรือเปล่า?)เต็มไปด้วยเกมส์ การ์ตูน ของเล่น และความบันเทิงเริงใจสำหรับเด็กชาย

ใครก็ตามที่มีเกมส์บอยไว้ในครอบครอง มีเพลย์สเตชั่นตั้งตระหง่านอยู่กลางบ้าน จะกลายเป็นเด็กชายที่มีเพื่อนมากมายโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

..แต่ไม่ใช่ผมหรอกครับ

ผมไปเดินสะพานเหล็กทุกครั้ง ก็แทบจะเสียแต่ค่ารถเมล์เท่านั้น ไม่เคยได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย

ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนประหยัด แต่กำลังทรัพย์มันไม่พอที่จะซื้ออะไร

การเดินวนรอบสะพานเหล็ก กวาดสายตาไล่ไปทีละร้าน ดูตัวการ์ตูนที่ออกใหม่ เกมส์ใหม่ที่เขาเปิดเล่นกัน

..แค่นั้นก็ทำให้ผมมีความสุขแล้ว

ระยะหลังๆที่ผมเดินสะพานเหล็ก เป็นช่วงที่ผมเปลี่ยนถ่ายความสนใจจาก"เกมส์"ไปสู่"เพลง"

สะพานเหล็กยังเป็นเพื่อนที่ดีเสมอ ด้วยการหยิบยื่น"Peacock"หรือเทปผีเพลงฝรั่งในยุคก่อน MP3 ระบาด

..หลังจากเคยเอาเกมส์ใหม่ๆมาให้ผมเปิดตา ก็เอาเพลงใหม่ๆมาให้ผมเปิดหู

 

เวลาล่วงเข้าช่วงมัธยมปลาย ผมก็เริ่มย้ายสะพานไปประจำการสะพานที่ใหญ่กว่า ที่พาดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา

..สะพานนั้นคือสะพานปิ่นเกล้า

ผมรู้สึกว่า ตัวเองเป็นคนชอบเดินก็ช่วงมัธยมปลายนี่แหละครับ

ผมจำได้ว่า เคยเดินจากเซ็นทรัลปิ่นเกล้า กลับบ้านที่ย่านหัวลำโพง

..ไม่ใช่เพราะไม่มีตังค์

..แต่เพราะไม่มีอะไรทำต่างหาก

ผมชอบเวลาที่เดินข้ามฝั่งแม่น้ำ แล้วยืนหยุดอยู่กลางสะพาน เพื่อมองทุกอย่างแล่นไปไหลมา

..มันเป็นเวลาที่น่าจดจำ

 

และแล้วก็ผ่านเวลาพ้นช่วงเวลา จนมาถึงสมัยมหาวิทยาลัย

ช่วงนี้ผมมีเพื่อนใหม่เป็นสะพานพระราม8 ครับ

ถ้ามีให้เลือกสะพานในกรุงเทพมหานครที่น่ามองที่สุดในยามราตรี ผมว่า คงไม่หนีสะพานพระราม8ไปได้

..ผมมักจะชวนเพื่อนไปยืนตากลม ชมไฟบนสะพานพระราม8 ด้วยเหตุผลว่า มันทั้งสวย และก็เงียบสงบดี

วิวธนาคารแห่งประเทศไทยยามค่ำคืนนั้น สวยมาก ถ้าหากใครยังไม่เคยมอง ก็ควรลองไปดูกัน

สะพานพระราม8 แตกต่างจากสะพานปิ่นเกล้าเรื่องความพลุกพล่าน เพราะมันสงบกว่ามากทีเดียว

ครั้งหนึ่ง ผมเคยลองท้าเพื่อนให้ไปนอนบนพื้นถนนบนสะพานพระราม8

คืนนั้น เพื่อนไม่ทำครับ ..แต่ผมทำ

ผมปีนข้ามรั้วที่กั้นระหว่างถนนกับราวสะพาน แล้วลงไปนอนหงายหลับตา นับ1-5อยู่กลางถนน

พอนับครบ 5 ผมก็ลุกปีนกลับมาตรงราวสะพาน

..แล้วชีวิตก็ผ่าน ข้ามช่วงที่บ้าบิ่นแบบนั้นไป

 

สำหรับช่วงชีวิตนี้ของผม ถึงจะต้องเจอกับสะพานทุกวัน แต่ก็เหมือนห่างกันแสนไกล

ผมข้ามสะพานทุกวัน แต่ไม่เคยได้สัมผัสเท้าลงไปบนสะพานเหล่านั้น

หากเป็นไปได้ ผมอยากลองหาเวลา กลับไปทำความคุ้นเคยกับสะพาน อีกหลายๆสะพาน

..เผื่อมันจะทำให้ผมสนุกสนานกับชีวิตมากขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้

 

ช่วงชีวิตของคนเราก็เหมือนกับสะพานบางสะพาน ..ที่เราต้องข้ามมันไปให้ได้

คุณอาจจะเดินเร็ว หรือเดินช้า อาจเหนื่อยล้า หรือมุ่งมั่น

..แต่เราก็รู้ว่า เราจะต้องเดินผ่านมันไป

..เพื่อไปยังอีกหลายๆสะพาน

 

 

ปล.รูปนี้ ผมถ่ายจากมุมหนึ่งของบันไดที่เดินขึ้นสะพานปิ่นเกล้า

ผมชอบที่บางส่วนของสะพาน มันปิดชื่อสะพานจนเห็นเป็นคำว่า "ล้า" พอดี

หากเราเดินลง เราคงไม่เห็นคำว่า"ล้า"

แต่หากเราเดินขึ้นมา เราก็อาจจะเห็นมัน..

แล้วเราควรตั้งจุดมุ่งหมายไว้ที่ไหน? ด้านบนหรือด้านล่าง?

เรื่องเบาๆ

 

..เคยมีคนบอกว่า ถ้าเรามองหา เราก็จะมองเห็น

พอผมแกว่งตาหาเรื่องที่จะมาเล่า ก็เลยเจอเรื่องที่จะเอามาเขียน..

 

สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมไปจัดงานประชุมด้าน Technic ของ Coke มาครับ (Coke Thailand นะครับ ไม่ใช่ ไทยน้ำทิพย์)

เป็นการประชุมในภูมิภาคเอเชียหรือเรียกว่า ATOC (Asia Technical Operations Council)

การประชุมครั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษล้วนๆครับ ซึ่งผมเองก็พอฟังได้บ้าง

แต่ด้วยความที่ว่า มันเป็นเรื่องค่อนข้างวิชาการ ไม่ใช่ภาษาธรรมดาที่เราพูดกัน ก็เลยฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่

การประชุมครั้งนี้มีชื่อที่ยาวเหยียดมากครับ ใช้ชื่อว่า

"Delivering Supply Chain Productivity in Challenging Times"

คร่าวๆก็คือ เป็นการประชุมเกี่ยวกับโปรเจคต์ด้านเทคนิคที่จะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานต่างๆ

..แล้วก็เอาโปรเจคต์มาแชร์กันว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทนี้ทำอย่างนี้อย่างนั้น

คำนวณออกมาแล้วแต่ละโปรเจคต์ลดต้นทุนได้เท่าไหร่กันบ้าง?

 

ขออนุญาตอธิบายเรื่องการลดต้นทุนทางด้าน Technic ซักเล็กน้อยครับว่าเขาคุยกันเกี่ยวอะไรบ้าง?

ตัวอย่างชัดๆที่น่าจะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดก็คือ เรื่องจำนวนเกลียวของขวดน้ำพลาสติกครับ

คือในอดีตขวดพลาสติกของ Coke จะมีเกลียว 3 ชั้น แต่ปัจจุบันเกลียวของขวดเหลือแค่ 2 ชั้นครับ

คนก็อาจจะงงว่า แค่ลดจำนวนเกลียวแล้วมันลดต้นทุนได้ยังไง

คำตอบก็คือ พวกเขาสามารถลดพลาสติกที่ใช้ในการทำเกลียวอีก 1 ชั้นนั่นแหละครับ

และในปีนั้น Coke ทั่วโลกสามารถลดต้นทุนการผลิตได้หลายล้านUSD เลยทีเดียว !!! 

 

งานประชุมเป็นอะไรที่ค่อนข้างน่าเบื่อสำหรับคนทำ event

แล้วยิ่งการประชุมแบบไร้ Subtitle กับคนทำ event ที่ฟังภาษาอังกฤษได้ในระดับปานกลาง

..เป็นอะไรที่น่าเบื่อสุดๆครับ

 

แต่เรื่องที่จะหยิบมาเล่า เป็น"เรื่องเบาๆ" ที่ทำให้เอาผมตาสว่างตั้งใจฟังกันเลยทีเดียว

เรื่องนี้ มาจาก Coco-Cola WEST ประเทศญี่ปุ่นครับ

เขาใช้ชื่อโปรเจคต์ว่า "Japan’s Lightest PET Bottle"

หรือแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า "ขวดพลาสติกที่เบาที่สุดในญี่ปุ่น" อะไรประมาณนี้

 

 

พอพี่ยุ่นแกเริ่ม Present ฝรั่งหัวทองก็ตื่นตาตื่นใจกันเป็นแถวครับ

พี่ยุ่นแกเริ่มด้วยการเอา I-LOHAS ซึ่งเป็นแบรนด์น้ำดื่มของ Coca-Cola ในประเทศญี่ปุ่นมาตั้งไว้บนโต๊ะ

 

 

 

บนโต๊ะในห้องประชุมทุกโต๊ะจะมี I-LOHAS 2 ขวดตั้งอยู่ครับ

ขวดนึงมีน้ำเต็มขวด แบบพร้อมจำหน่าย อีกขวดนึงเป็นขวดเปล่า ไม่มีน้ำ ไม่มีฉลาก ไม่มีฝา

 

พี่ยุ่นแกก็ฉายสไลด์เกี่ยวกับโครงสร้างของขวดที่ว่านี้ให้ดู ถึงขั้นตอนการออกแบบ ว่าตรงไหนเป็นอะไรยังไงคร่าวๆ

แกบอกว่า ขวดนี้ยืดหยุ่นสูงมาก เพราะมีโครงสร้างแบบสปริงครับ !!

แกเอานิ้วจิ้มลงไปตรงฝาครับ แล้วออกแรงกดขวดที่มีน้ำอยู่ลงไปนิดนึง

เราเห็นขวดน้ำยวบลงไปตามแรงกดเล็กน้อยครับ แล้วพี่ยุ่นแกก็ปล่อยขวดมันก็คืนสภาพเดิม

แต่ยังไม่พอครับพี่ยุ่นแกจับขวดด้วยสองมือ แล้วงอเบาๆ

ขวดนั้นก็งอไปด้วยครับ

 

ฝรั่งงง ผมก็งงครับ

..และคิดว่าอีกหลายคนก็คงจะงง

 

พี่ยุ่นก็เลยอธิบายว่า การที่ขวดมีความยืดหยุ่นดีนั้นเป็นข้อดีครับ

นั่นก็คือถ้าขวดยืดหยุ่นดี อัตราความเสียหายจากการกระแทกในการขนส่ง ก็จะลดลง

นั่นหมายความว่า ขวดน้ำทุกขวด และน้ำทุกหยด ก็จะส่งตรงถึงมือผู้บริโภค ไม่มีการสูญเสียไปโดยเปล่าประโยชน์

 

จบจากขวดที่มีน้ำเต็มไปแล้ว พี่ยุ่นแกก็มาเริ่มที่ขวดเปล่าครับ

แกหยิบขวดเปล่าขึ้นมาบิด แล้วก็บิด (ดูVDOประกอบครับ) 

 

 

ฝรั่งอึ้งครับ !!

 

พอบิดเสร็จ พี่ยุ่นแกก็ทำหน้าตาเรียบเฉยพร้อมอธิบายว่า นี่คือวิธีลดปริมาตรของขวด เมื่อมันกลายเป็นขยะ

พี่ยุ่นแกอธิบายว่า นอกจากเราจะสามารถลดต้นทุนของเราได้แล้ว

มันสามารถช่วยลดต้นทุนของการเก็บขยะมารีไซเคิลได้ด้วย

เพราะมันสามาถบิดได้จนเหลือขนาดเล็กมาก (ดูภาพประกอบครับ)

 

 

พี่ยุ่นแกบอกว่า นีคือนวัตกรรมที่เราสามารถคืนให้สังคมได้ นอกเหนือจากกิจกรรม CSR ที่ทุกองค์กรกำลังตื่นตัว

 

และมาถึงไฮไลท์ของเจ้าขวดนี้ครับ

เจ้าขวดนี้มีน้ำหนักเพียงแค่ 12 กรัม เบากว่าขวดพลาสติกทั่วไปถึง 40% !!

 

ทุกคนอาจจะกำลังคำนวณว่า มันลดต้นทุนพลาสติกไปได้เท่าไหร่?

แต่พี่ยุ่นแกไม่ได้คิดแค่นั้นครับ

พี่ยุ่นอธิบายว่า การลดน้ำหนักของขวดนั้น ไม่ใช่แค่การลดขนาดของขวด

สิ่งที่หายไป จึงไม่ใช่แค่พลาสติก แต่เป็นน้ำหนัก

 

แล้วน้ำหนักมาเกี่ยวอะไร?

 

คำตอบก็คือ น้ำหนักที่เบาของเจ้าขวดนี้ ทำให้พวกเขาสามารถลดจำนวนการขนส่งได้ครับ..

ลดจำนวนการขนส่ง = ลดต้นทุนการขนส่ง = ลดการใช้น้ำมัน

 

โปรเจคต์ลดต้นทุนอื่นๆที่นำเสนอกัน สามารถลดต้นทุนได้ประมาณ 2-3 ล้าน USD ต่อปีครับ

แต่ "Japan’s Lightest PET Bottle" สามารถลดต้นทุนได้ถึง 23 ล้าน USD ต่อปี !!!

 

ตอนนี้ขวดนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนวิจัยและพัฒนา เพื่อนำไปใช้กับน้ำอัดลมครับ

ซึ่งทางผู้ผลิตก็จะต้องคำนึงถึงการรักษาความซ่าของน้ำอัดลมไว้ด้วย ก็เลยต้องใช้เวลาหน่อย

..แต่ถ้าทำได้ นั่นก็หมายความว่า เราจะสามารถประหยัดพลาสติก และน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกมากโขทีเดียว

 

บางคนอาจจะคิดว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้เป็นแค่การลดต้นทุนการผลิตขององค์กรธุรกิจองค์กรหนึ่งเท่านั้น

..มันไม่ได้เกิดจากความคิดที่ช่วยเหลือเรื่องสิ่งแวดล้อมใดๆ จากองค์กรทางสังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ

แต่ผมอยากให้ลองมองถึงผลที่เกิดขึ้นมากกว่า

ถึงแม้โครงการนี้จะเป็นโครงการของภาคธุรกิจ

แต่มันได้สะท้อนให้เราเห็นถึงความพยายามในการ"ลด"การใช้ทรัพยากร

และทำให้เราตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า

 

ใครจะไปคิดว่าแค่เราลดน้ำหนักของอะไรบางอย่าง..

เราก็สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโลกได้แล้ว

 

http://www.ijigg.com/jiggplayer.swf?Autoplay=1&songID=V2C0D7D7PAD

 

 

 

“คิด”อะไร?

 

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา มีโอกาสได้เข้าไปนั่งฟังเลกเชอร์ วิชาอะไร กับอ.ยงยุทธ จรรยารักษ์ และพี่ก้อง-ทรงกลด บางยี่ขัน

 

ด้วยความที่เคยชินที่ตอนเรียนชอบเข้าห้องเรียนสาย ..และเย็นวันนั้นก็เช่นกัน

กว่าจะย้ายร่างกายออกจากออฟฟิศไปซื้อตั๋ว FAT T-Shirt Festival #5 ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่

แล้วเดินตะล๊อกต๊อกแต๊กไปคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ กว่าจะถึงก็ปาเข้าทุ่มนึงแล้ว

 

เมื่อไปถึงตามคาด คือเป็นคนสุดท้ายที่เข้าไป เลยระเห็จไปนั่งฟังอยู่หลังสุด

แต่ที่ผิดคาดก็คือ คนมากันเยอะมาก (ประมาณ20คนได้)

 

ด้วยความที่เป็นเด็กหลังห้อง ก็เลยฟังอะไรไม่ถนัดถนี่ แถมมาสาย เขาคุยกันไปถึงไหนก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง

แต่ก็ยังพอจับใจความ ข้อคิด และความเห็นจากอ.ยงยุทธมาได้พอสมควร เลยเก็บมาฝาก แล้วลองคิดตามกันดูครับ

(ฟังไม่ค่อยได้ยินเท่าไหร่ ถ้าผิดพลาดประการใด เป็นความผิดของผมเองครับ ไม่ใช่ของอาจารย์)

 

คุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของผู้นำคือ "อึด"

อ.ยงยุทธบอกว่า คุณสมบัติอื่นๆของผู้นำก็สำคัญ แต่ใน"มุมมองของท่าน" ความอึดเป็นคุณสมบัติที่สำคัญที่สุด

ความอึดในที่นี่ หมายถึง ความอดทนต่อสิ่งต่างๆที่เข้ามา แล้วใช้สติ ปัญญา ความคิดในการแก้ไขปัญหา

ไม่ใจร้อน ด่วนตัดสินใจไปตามอารมณ์ ซึ่งจะผลไปในทางที่ไม่ดีได้ 

 

หัวหน้าที่ดี เมื่อเสร็จงาน ลูกน้องจะต้องได้หน้า

อ.ยงยุทธบอกว่า ถ้าทำงานอะไรก็แล้วแต่เสร็จแล้วหัวหน้าได้หน้าอยู่คนเดียว

ไม่มีทางที่กลุ่ม องค์กร หรือทีมนั้นๆจะรอดพ้นไปได้

แต่ถ้าทำงานเสร็จ ลูกน้องได้เครดิต ได้รับคำชื่นชม สิ่งเหล่านั้นก็จะกลับมาหาหัวหน้างานเอง

 

ธรรมะที่สำคัญที่สุดของครู คือ "อุเบกขา"

อ.ยงยุทธ ถามว่า อุเบกขาคืออะไร? มีคนตอบว่า การวางเฉย อ.ยงยุทธบอกว่า นั่นยังไม่ใช่คำจำกัดความที่ถ่องแท้

อ.ยงยุทธบอกว่า อุเบกขา"ในมุมมองของท่าน"คือ การไม่อวดดีแม้มีดีให้อวด

ในความเห็นของท่าน ครูไม่จำเป็นจะต้องแสดงความรู้ แสดงความสูงส่งกว่าลูกศิษย์

แต่ควรให้ศิษย์ได้เรียนรู้ และคิดได้ด้วยตนเองมากกว่า

 

ต้นไม้เรียนรู้ได้ดีกว่าสิ่งอื่นๆ จากการที่มันเดินไม่ได้

ข้อคิดนี้ มาจากคำที่อ.ยงยุทธบอกว่า สิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต้องเรียนรู้ อย่างคน สัตว์ ก็จะต้องเรียนรู้ เพื่อที่จะมีชีวิตรอด

จึงมีคนถามขึ้นมาว่า แล้วต้นไม้เรียนรู้อย่างไร?

ท่านจึงบอกว่า ต้นไม้นี่แหละคือตัวอย่างสิ่งมีชีวิตที่เรียนรู้ดีที่สุด เพราะต้นไม้เดินไม่ได้

สิ่งมีชีวิตแบบคนหรือสัตว์ที่เคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ เมื่อเบื่อหน่ายปัญหา หาทางเรียนรู้ไม่ได้ เราก็จะ"หนี"ไปหาสิ่งอื่นๆ

แต่ต้นไม้ไม่สามารถหนีได้ ถ้าจะมีปัญหาเข้ามาหาตัวมัน มันต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเพื่อเอาชีวิตรอดให้ได้

อ.ยงยุทธเคยบอกหลายครั้งว่า ต้นไม้เป็นครูที่ดีที่สุดของสิ่งมีชีวิต

เมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้ ก็คิดว่า ต้นไม้เป็นครูที่ดีที่จะสอนให้เรากล้าเผชิญหน้ากับปัญหา

 

ทุกอย่างบนโลกนี้ไม่มีถูกไม่มีผิด จนกว่าจะมีผลจากการกระทำของมัน

อ.ยงยุทธอธิบายเรื่องนี้ว่า อย่าตัดสินใจสิ่งต่างๆแค่เพียงเหตุ แต่เราต้องคิด"ผล"ของมันต่างหาก

การกระทำบางอย่างอาจดูเหมือนเป็นสิ่งเลวร้าย แต่เมื่อผลของมันทำให้เกิดสิ่งดีๆขึ้น

เราจะบอกว่า การกระทำนั้นถูกหรือผิด?

 

ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างบทเรียนให้กับเรา เป็น"ครู"ของเรา

"ในมุมมองของท่าน" ทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนเป็นครูที่ทำให้ชีวิตเราเรียนรู้ได้ไม่จบสิ้น

 

เป้าหมายของการศึกษา ควรจะเป็นการช่วยเหลือทุกชีวิตให้เป็นปกติ

ประโยคนี้ ผมว่ามันตีความได้หลายแบบ อ.ยงยุทธอธิบายไว้สั้นๆแต่ผมจดไว้ไม่ทัน

ลองเอาไปคิดกันต่อเล่นๆนะครับ

 

 

อ.ยงยุทธเรียกการคุยแบบนี้ว่า "สนทนาจิปาถะ" คือคุยกันทุกเรื่อง

ใครมีอะไรสงสัย มีเรื่องอะไรอยากแชร์ความคิด ก็สามารถคุยได้ไม่จำกัด

เพราะท่านเห็นความสำคัญของการตั้งคำถามกับทุกๆสิ่งรอบตัว

และด้วยความคิดนี้เอง พี่ก้อง-ทรงกลด จึงตั้งชื่อโครงการนี้ว่า "วิชาอะไร"

คือการนั่งคุยกับอ.ยงยุทธว่าด้วยการตั้งคำถาม และคิดหาคำตอบ"ในมุมมองของท่าน"

 

อ.ยงยุทธมักบอกเสมอว่า อย่าเชื่อในความรู้ แต่จงตั้งคำถาม และคิดตามเพื่อหาคำตอบ

..ถ้าอ่านจบแล้ว อย่าเพิ่งเชื่อนะครับ

ลองคิดตามกันดูก่อน

 

ตารางเรียน"วิชาอะไร"คาบต่อไป :

วันพุธที่ 24 มิถุนายน 2552 ณ ห้องเลคเชอร์ในตึกภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ

เวลา 18.00 – 20.00 น.

 

ผมขอปิดท้ายด้วยคำคมที่ผมชอบที่สุดในค่ำวันนั้น

"ผมไม่มีความรู้อะไรเลย ผมมีแต่ความคิดเท่านั้น" – อ.ยงยุทธ จรรยารักษ์

 

 

ปล.อยากมีเรื่องกับผมเชิญ ที่นี่ ครับ

 

 

ฟัง-หู-ไว้-หู

 

ทุกเช้า พอก้าวเท้าออกจากบ้าน ผมจะหยิบก้านของเครื่องบรรทุก MP3 เอามันเสียบใส่หู

ทุกเย็น เมื่อผมเบียดร่างเข้าไปในฝูงชนบนรถไฟฟ้าที่แน่นยิ่งกว่าปลากระป๋อง เสียงเพลงจากเครื่องเดิมเครื่องนั้น ก็จะดังกังวาลในหูผม

.

.

 

ในวันหนึ่ง ผมทดลองอะไรบางอย่าง

..ผมลองไม่หยิบมันออกจากกระเป๋า ลองไม่เอาหูฟังเสียบหู

 

ผมลองมองภาพผู้คนมากมายบนรถไฟฟ้า ที่ต่างพากันเอาหูฟังเสียบหู แล้วอยู่กับโลกของเสียงเพลง

..และโลกของตัวเองเท่านั้น

 

ผมรู้สึกว่าภาพนั้นเหงา..

 

เมื่อเหล่านักสัญจรเดียวดาย ทิ้งโลกที่วุ่นวายไว้เบื้องหลัง แล้วเดินทางสู่โลกของตัวเองคนละใบ

ต่างไปของภาพเพื่อนฝูงพี่น้องที่พวกเขาร่วมสัญจรมาด้วยกัน

 

คนกลุ่มนึงพูดคุย มองตา ส่งรอยยิ้ม เสียงหัวเราะให้แก่กัน

คนอีกกลุ่มนึงนั่งนิง หลับตา ปิดกั้นตัวเองจากโลกใบเดิม

 

ผมนึกสงสัยว่า ทำไมถึงเรียกมันว่า หูฟัง

ผมนึกสงสัยถึงคำที่ใครเคยพูดไว้ว่า "ได้ยินแต่ไม่ได้ฟัง"

ความจริงแล้ว พวกเขาแค่เปิดเพลงให้ได้ยิน หรือได้ฟัง

พวกเขาได้ยินอะไร?

พวกเขากำลังฟังอะไร?

 

"คนเราชอบสิ่งที่เราควบคุมได้" ผมนึกถึงคำพูดของอ.ยงยุทธ จรรยารักษ์ ตอนที่ร่วมเดินทางไปกับท่านในทริป"ไม้-เมือง-ร้อน"

อ.ยงยุทธบอกว่า คนเราชอบไฟฟ้าก็เพราะว่ามันควบคุมได้ มากกว่าพระอาทิตย์

ถ้าเราอยากให้สว่างก็แค่เปิดสวิทซ์ ถ้าเราอยากให้มืดสนิทก็แค่กดปิดมันเท่านั้น

ผมมองเรื่องพฤติกรรมการเสียบหูฟังในมุมมองเดียวกัน

 

ถ้าเราไม่พึงใจจะฟังเสียงรอบกาย ก็แค่เอาหูฟังเสียบหู เสียงภายนอกก็ยากจะที่รอดรูเข้าไปในหูเราได้

..แถมเรายังเลือกได้ว่าเราอยากจะฟังอะไร อยากจะฟังเพลงไหน อยากให้โลกส่วนตัวของเราเป็นยังไง

ดูเป็นความสะดวกสบายกับการตัดขาดจากโลกภายนอก

 

ผมว่า การฟังเพลง ชอบเสียงดนตรี ไม่ใช่เรื่องผิด ผมเองก็ชอบฟัง

..แต่เราจะเลือกฟังแต่เสียงที่เราต้องการ เลือกอยู่บนโลกที่เราอยากจินตนาการถึงเท่านั้นเหรอ

 

แล้วเสียงจากโลกภายนอกเล่า เราเคยรับฟังมันบ้างไหม?

แล้วเสียงจากโลกแห่งความจริงเป็นอย่างไร เราจะไม่ฟังมันเลยหรือ?

 

ปัญหาวุ่นวายมากมายที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ บางที..อาจเป็นเพราะเราเลือกที่จะฟังมากเกินไป

ไม่ใช่สิ.. เราเลือกจะฟัง"สิ่งที่เราต้องการ"มากไปต่างหาก

เราจึงหลีกหนีที่จะฟังความจริง ฟังเรื่องจริงที่เกิดขึ้น แล้วหันไปฟังในสิ่งที่เราพึงพอใจมากกว่า

 

ผมไม่ได้จะบอกว่า การเสียบหูฟังแล้วขังตัวเองไว้ในโลกแห่งเสียงเพลงเป็นสิ่งเลวร้าย

..แค่เพียงอยากให้คุณถอดมันออก แล้วฟังเสียงโลกภายนอกบ้างเป็นครั้งคราว

 

 

คุณจะยอมฟังผมบ้างมั้ย?

 

 

————

p.s.ตอนนี้ที่ exteen จัดกิจกรรม June Write ! (อัพวันละentryตลอดเดือนมิถุนายน)

ดังนั้นจะอัพบ่อยเป็นพิเศษ แต่บางentryอาจจะไม่ได้อัพใน space

เข้าไปอ่านblog ที่ exteen ได้ ที่นี่