แสงและเงา [Light & Shadow]

20 กันยายน 2549

 

ผมกำลังนั่งรถเมล์สาย 53 จากบ้านเพื่อนที่หลานหลวง เพื่อกลับไปยังบ้านของตน

 

สายตาของผม มองผ่านออกไปยังบริเวณตลาดโบ๊เบ๊

 

ในวันพุธในสถานการณ์ปกติ อาจจะไม่เป็นเช่นนี้

 

วันนี้มันดูเงียบเหงาลงไปถนัดตา

 

ต่างจากครั้งก่อนที่ผมนั่งรถผ่านมันไป

 

 

17 กันยายน 2549

ผมกำลังอยู่บนเรือที่แล่นผ่านคลองแสนแสบด้วยความเร็วไม่มากนัก

เย็นวันอาทิตย์ทำให้บรรยากาศบริเวณสองฝั่งคลองดูเงียบเหงาผิดปกติ

ผมค่อยๆก้าวขึ้นท่าประสานมิตร เพื่อไปหาพลพรรคเพื่อนฝูงทั้งหลาย ที่ตั้งวงเล่นกีฬาบัตรกันอยู่บนอาคารเรียน

…อาคารเรียนในวันอาทิตย์ที่ปราศจากผู้คน เหมาะนักแลกับการเล่นการพนัน…

 

ผมไม่ใช่นักพนัน …อย่างน้อยช่วงนี้ก็ไม่ใช่ หน้าที่ของผมในหมู่เพื่อนฝูงก็เป็นแค่คนแจกไพ่เท่านั้น

…มันบอกว่า เวลาผมแจก แล้วลุ้นไพ่มันดี …ผมก็ไม่แน่ใจว่า มันเกี่ยวกับผมแน่หรือเปล่า

…แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงดั้นด้นนั่งเรือคลองแสนแสบ มายืนแจกไพ่อยู่บนอาคารเรียน

 

17.00 น. สัญญาณปิดอาคารดัง

ผมกับพรรคพวกยืนอยู่ด้านล่าง รอคอยเวลาให้ฝนหยุด

ไปหาอะไรกินกัน ใครสักคนเอ่ยขึ้นกลางวง

ไปต้อยป่ะใครอีกคนเสนอขึ้น มันเป็นร้านอาหารที่รู้จักกันในวงการร่ำสุราของชาวประสานมิตร

รอยยิ้มอย่างมีเลศนัยของทุกคนแทนคำตอบ…

เมื่อฝนหยุดตกพวกเราจึงพากันไปขึ้นรถของเพื่อน 2 คันที่จอดอยู่หน้าอาคาร

 

เฮ้ย…ร้านปิดเสียงเจ้าเพื่อนตัวดีของผมเอ่ยขึ้น เมื่อเราลงจากรถเดินมาจนถึงหน้าร้าน

 

ณ ที่ประชุมเร่งด่วน เราได้ข้อสรุปเป็นร้านอาหารที่ถ.เพชรบุรี ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นจิ้มจุ่ม รัชดาซ.3 ในวาระการประชุมผ่านระบบTelephone Conference

 

อาหารมื้อค่ำกับพลพรรคเพื่อนฝูงผ่านพ้นไป …

เจ้าเพื่อนตัวดีชวนผมไปบ้านเจ้าเพื่อนตัวกวน …มันจะไปทำรายงาน เลยหาเพื่อนกลับออกมาด้วย

 

ผมก็เลยมานั่งๆนอนๆ อยู่ที่บ้านเจ้าเพื่อนตัวกวน พร้อมกับเจ้าเพื่อนตัวแสบอีกคน ที่มันมาค้างที่นี่เพื่อดูบอลนัดสำคัญในคืนนี้

…แต่ขอโทษทีที่ผมไม่ใช่คอบอล

 

หลังจากซัลโวจิ้มจุ่มมาแล้ว พวกเรา 3 คนกับเจ้าเพื่อนตัวกวนเจ้าของบ้าน ก็มามะรุมมะตุ้มกับหมูสะเต๊ะกันต่อ

ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายไปคนละมุมบ้าน เพื่อปฏิบัติภารกิจส่วนตัว

.

.

.

 

19 กันยายน 2549

ผมเดินอยู่บนถนน RCA ลำพัง เพิ่งจะเอ่ยลารุ่นพี่ที่ไม่ได้พบกันนาน

…วันนี้ผมมาทำงานเป็นคนสอนเชียร์ ให้พนักงานบริษัทเกี่ยวกับIT ซึ่งเขาจะจัดกีฬาสีในวันเสาร์นี้

 

หลังจากที่เราไม่ได้พบกันนาน ผมกับรุ่นพี่เรานัดเจอและพูดคุยกันที่มหาลัย ก่อนที่เดินทางมาทำงาน และแยกย้ายกันไป

 

วันนี้ผมมีภารกิจต่อ เนื่องจากเป็นวันเกิดของท่านเง๊กเซียน ซึ่งจัดฉลองรวมกับเจ้าเพื่อนตัวกวนที่จะถึงในวันอาทิตย์ จึงต้องมีการกระทบแก้วให้เป็นจังหวะ เพื่อเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์ในเส้นเลือดกันหน่อย

 

Routte 66 …จุดนัดพบในค่ำคืนนี้

ประมาณ 20.30 น. ผมยืนอยู่หน้าร้านก่อนที่จะผ่านการตรวจสอบอย่างเคร่งครัดของเจ้าหน้าที่ ให้เข้าไปเผชิญอันตรายของพิษสุราด้านใน

 

นั่งได้สักพัก วงดนตรีวงแรกก็ประเดิมด้วยเพลงดีๆ ฝีมือของมือเบสนี่ซูฮกเลยว่าเด่นกว่ามือกีต้าร์อีก แถมนักร้องนำท่านก็แนวมากๆ เสียงดีด้วยแหละ ภาพรวมวงนี้น่าจับตามองมาก…

 

เล่นไปได้3-4เพลง วงแรกก็จากไป เพราะเป็นแค่วงที่มาออดิชั่นเท่านั้น …วันนี้จึงมาเล่นให้ดูแค่นี้

…แต่ก็ต้องยอมรับว่า เพลงภาษากายของ Potatoเนี่ยเล่นไม่เหมือนนะ

…เพราะเล่นดีกว่า Potato ตั้งเยอะ (ฮา…)

 

เปิดเพลงไปได้สักพัก วงต่อมาก็ขึ้นมาพร้อมกับไวโอลินสาว 2 คน ที่ทำให้เจ้าเพื่อนตัวหื่น(ยืนยันอีกครั้งว่า หื่น แปลว่า ร่าเริง)ตาเป็นมัน หากใครรู้จักมัน ก็คงจินตนาการออก

พลพรรคเพื่อนฝูง และพี่น้องเริ่มมากันหนาตา เราต่อโต๊ะยาวราวๆ5-6ตัวได้ แต่ก็ยังนั่งกันแทบไม่พอ

 

ด้วยความแออัดของผู้คนบนโต๊ะ และการจราจรของแก้วที่คับคั่ง ทำให้เกิดการชนกันหลายครั้งหลายคราว จนหลายคนเริ่มจะออกอาการมึน

ผมจึงขอตัวออกทางเลี่ยงเมืองไปนอกร้าน หลีกหนีการจราจร และเสียงที่ดังสนั่นไปหามุมสงบ

 

ก็…ไม่มีอะไรมาก ผมยังไม่ได้บอกที่บ้านเลย ว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน

…ก็แก้วชนกันกระจายขนาดนี้ เมาไม่กลับ ท่าทางจะปลอดภัยจากพ่อมากกว่า…

 

.

.

.

 

18 กันยายน 2549

ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา…ผมนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิมที่นั่งกันประจำ…

พลพรรคเพื่อนฝูงพี่น้อง รวมทั้งตัวผมเอง ค่อยๆเก็บสัมภาระย้ายเข้ามาด้านหน้าลิฟต์

เพราะฝนที่ตกเริ่มหนักขึ้นๆ และสาดเข้ามาบริเวณโต๊ะริมระเบียงที่นั่งกันอยู่

 

หน้าลิฟต์จึงแออัดไปด้วยผู้คนหลากหลาย …รวมทั้ง… เธอคนนั้น

 

ผมเดินไปหยอกล้อเธอสักพัก …ก็เริ่มไม่มีอะไรทำ พร้อมๆกับรุ่นน้องปี1 เริ่มจะแซวเยอะแล้ว

…ผมจึงเดินไปที่กระเป๋าของผมซึ่งวางอยู่ข้างตัวเธอ หยิบหนังสือในกระเป๋าออกมา

 

นายเท้าซ้าย เด็กชายเท้าขวางานเขียนของทรงกลด บางยี่ขัน

ที่คั่นหนังสือบ่งบอกว่า การเดินทางของทั้งนายเท้าซ้าย และเด็กชายเท้าขวาเหลืออีกเพียงไม่กี่หน้ากระดาษ

…และพวกเขากำลังรอคอยผมเดินต่อไปกับพวกเขา

 

ผมกางหนังสือแล้วนั่งอ่านอยู่ข้างๆลูกสาว(ข้อมูลจำเพาะ-น้องปี1 แฟนเจ้าเพื่อนตัวดี)

…ผมคิดว่า จะอ่านหนังสือเล่มนี้ให้จบในวันนี้ เพราะลูกสาวผมจะยืมต่อ

…และคนที่ยืมต่อไปก็คือ เธอคนนั้น

 

เย็นวันนั้น…หลังจากฝนหยุดตก

…ผมปล่อยนายเท้าซ้าย เด็กชายเท้าขวา ให้พาลูกสาวผมไปเดินทางบนโลกของตัวหนังสือ

…ก่อนที่ผมจะก้าวเท้าซ้าย สะพายกระเป๋าเดินตามเด็กน้อยคนหนึ่งไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน 

…ผมยื่นChupa-Chupsให้เด็กน้อยคนนั้นอีกอันหนึ่ง เพราะพรุ่งนี้เราจะไม่เจอกัน…

 

ผมกลับมาถึงบ้าน พร้อมกับกระเป๋าที่เบาโหวง…หนังสือหายไปจากกระเป๋าหนึ่งเล่ม

…หลายครั้งที่หนังสือที่ผ่านสายตาของผม ถูกส่งต่อไปยังมือของคนอื่นๆ

และผมก็ยินดีที่จะได้แบ่งปันให้คนอื่นได้เห็นสิ่งที่ผ่านสายตาของผมไปแล้ว

 

มือผมเลื่อนไปที่สันหนังสือหลายเล่มที่วางเรียงตัวอยู่บนโต๊ะ

…ผมจะอ่านเล่มไหนต่อดีนะ

 

และแล้ว…ผมก็มาสะดุดกับหนังสือเล่มนึงที่ผมอ่านค้างไว้ ซึ่งอ่านไปได้เพียง 2 หน้า

…ทั้งๆที่มันได้รางวัลซีไรท์นะ!

 

ผมตัดสินใจหยิบมันขึ้นมาอ่านอีกครั้ง และตั้งใจว่าจะอ่านให้จบภายใน 3-4 วันนี้

 

ประชาธิปไตยบนเส้นขนาน

 

19 กันยายน 2549

ผมวางโทรศัพท์จากเธอคนนั้น และกำลังจะกลับเข้าร้าน

…ที่หน้าร้านมีผู้หญิงคนหนึ่งพูดเรื่องการปฏิวัติ…

เธอคนนั้นก็พูดกับผมเหมือนกันว่า เพื่อนของเธอโทร.มาโวยวายว่ามีปฏิวัติ แต่เธอนั่งดูโทรทัศน์อยู่ก็ยังไม่เห็นมีข่าวอะไร…

 

ผมเดินกลับเข้าไปในร้าน

…เพื่อนของผมบอกให้เตรียมตัวกลับ ผมงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น…

 

—-ปฏิวัติจริงๆ!

 

ผมกับพลพรรคเพื่อนฝูงรวมตัวกันที่หน้าร้าน ก่อนที่ตกลงกระจายกำลังออกเป็น 3 ทางหลัก เพื่อเข้าตี เอ้ย…เข้าบ้านใครบ้านมัน

 

ผมกับเพื่อนรวม 8 คนไปต่อกันที่บ้านเจ้าเพื่อนตัวกวน ซึ่งตอนนี้มันกอดคอบักจอห์นในชุดแดงเดินขึ้นมาบนรถแท็กซี่ด้วยกัน

 

นั่งรถไปพลางๆก็คุยกันเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น…

…อย่างไรก็ตามพวกเราตระหนักถึงคำกล่าวที่ว่า You’ll Never Walk Alone

ดังนั้นการมีบักจอห์นเดินอยู่อย่างเดียวดาย คงไม่เพียงพอกับการที่สหาย 8-9 คนจะสุมหัวก่อการปฏิวัติกันในคืนนี้

 

ผมจึงแวะ 7-11 กับเจ้าเพื่อนหัวเหม่ง เพื่อนำกองทัพเป๊บซี่ สไปร์ท พร้อมด้วยทัพสิงห์ซ่าหนึ่งลัง จากนั้นก็เรียกพลทหารเป่าปี่มาอีกหนึ่งกองร้อย

…รวมอาหารและเครื่องดื่ม เราก็ได้หนึ่งกองพันพอดี เพราะเงินพันนึงของเราไปกองอยู่ลิ้นชักใส่เงิน

 

เจ้าเพื่อนตัวกวนถึงกับตาโต เมื่อเห็นกองทัพที่ผมกับเพื่อนหัวเหม่งนำมา…

 

ภารกิจแรกที่บ้านเจ้าเพื่อนตัวกวน คือ การข่าว โดยมีโทรทัศน์ในห้องนอนแม่มันเป็นเครื่องนำสาร

…เราจึงนั่งดูข่าว พร้อมวิเคราะห์เจาะลึกในประเด็นต่างๆ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของคนชื่อหยาด…

 

เมื่อเราสะสมข่าวได้พอควรแล้ว เราก็จึงย้ายกองบัญชาการไปยังห้องนอนเจ้าเพื่อนตัวกวน และซ้อมการรบ ฝึกการยิงโดยยุทธวิธี

 

…Winning Eleven…

 

ผมสอบตกการยิงก่อนใครเพื่อน จึงปลีกวิเวกไปยิงสัญญาณโทรศัพท์หาเธอคนนั้นแทน

…หลังจากหายหัวไปร่วมชั่วโมง เมื่อกลับมาดูก็พบว่า การซ้อมยิงนั้นเสร็จสิ้นไปแล้ว

 

ต่อไปก็เป็นการรบระยะประชิด โดยมีแก้วเป็นอาวุธ จับชนกันเสียงดังสนั่น…

 

อย่างไรก็ตาม ผมไม่ได้อยู่จนภารกิจนี้ลุล่วง

 

 

 

 

…เพราะหนีไปนอนก่อน…

 

20 กันยายน 2549

เช้านี้ ตื่นมาด้วยความรู้สึกมึนงง ที่ไม่ได้มีผลมาจากแอลกอฮอล์แต่อย่างใด

…แต่เนื่องมาจากเหตุการณ์แปลกเมื่อคืนต่างหาก

 

วันนี้ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเกิดขึ้น

ภาพเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ในอดีตนั้น แตกต่างจากภาพการปฏิวัติในครั้งนี้

…ไม่สิ ครั้งนี้ต้องเรียกว่า การปฏิรูป ถึงจะถูก…

 

พวกเราเพื่อนฝูง ยังคงสนุกสนานอยู่ในบ้านเจ้าเพื่อนตัวกวน

ตื่นนอนมาเล่นเกมส์ กินข้าว เล่นไพ่ ก่อนที่แยกย้ายกันกลับบ้าน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…

.

.

.

.

 

ความเงียบภายนอกหน้าต่างรถเมล์นั้นไม่ใช่ความเงียบเหงาหรอก

…แต่มันเป็นความเงียบสงบมากกว่า

 

หากเราดูดีๆ…เราจะเห็นอะไรที่แตกต่างออกไป

 

นี่อาจจะดูแปลกตาไป…แต่รอยยิ้มของผู้คนที่ได้หยุดพักในวันนี้ก็ออกจะดูแปลกจริงๆ

…มันทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง…

 

…เราไม่มีการเสียเลือด และน้ำตาไปในครั้งนี้

…ตรงกันข้าม เราได้รอยยิ้ม และความเงียบสงบกลับมาแทน

 

ผมกลับมาถึงบ้าน

…พ่อนั่งดูโทรทัศน์อยู่

…แม่นั่งหั่นผักอยู่หลังบ้าน

…จากนั้น ครอบครัวเราก็นั่งล้อมวงทานอาหารเย็นพร้อมกัน อย่างที่ไม่เคยทำมานานแล้ว

 

ภาพของผู้คนที่ไปถ่ายรูปกับรถถัง และทหารพร้อมรอยยิ้มนั้นหาดูได้ยากจริงๆ

 

ผมกลับไปนั่งอ่าน ประชาธิปไตยบนเส้นขนานจบภายในคืนวันนั้น

 

17 กันยายน 2549

ตอนนี้…ผมออกมาจากบ้านเจ้าเพื่อนตัวกวนแล้วล่ะ

…เจ้าเพื่อนตัวดีชวนผมไปเดินตรอกข้าวสารเล่น ซึ่งขณะเป็นเวลาประมาณ 01.00น.ของวันที่ 18

 

ตอนแรกมันอยากจะนั่งรถไป …แต่ผมท้ามันให้เดินไป

…และมันก็ทำตาม

 

เราคุยอะไรหลายๆอย่าง สัพเพเหระไปตามทาง…

…เดินร้องเพลงไปตามถนน เล่าเรื่องราวต่างๆบนฟุตบาธ…

 

ผมเดินอยู่บนถนนราชดำเนิน …มองไปยังอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย…

 

 

 

ยามค่ำคืน…มันช่างสวยงาม แตกต่างจากตอนกลางวันนะผมว่า…

 

 

…อาจจะเป็นเพราะท่ามกลางแสงสว่าง เราก็เห็นสัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยได้ชัดเจน

 

 

 

 

 

…หากแต่บางครั้ง ยามค่ำคืนที่มีแสงไฟสาดส่องไปยังอนุสาวรีย์…

 

…ความสมดุลแห่งแสง และเงาก็นำพาให้ประชาธิปไตยงดงามยิ่งขึ้น…