I’m A Loser ! – ในที่สุด…ผมก็แพ้

 
"ผมแพ้แล้ว…"
 
 
ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะที่กำลังเดินออกจากมหาวิทยาลัย
 
 
…ละครเพิ่งจะปิดฉากลง…
 
 
 
————————————————–
 
 
"สถานที่ทุกๆแห่งก็ย่อมมีข้อห้ามของมัน …โรงละครก็เช่นกัน"
 
เสียงจากชายหนุ่มผู้ไม่ค่อยเป็นชายเท่าไรนักดังขึ้น เสียงนั้นค่อนข้างเล็กขัดกับร่างกายของเขามากทีเดียว
 
 
 
"ข้อห้ามสากลของโรงละครก็คือ ห้ามนำโลงศพเข้ามาในโรงละคร…
 
ไม่ว่ามันจะถูกกล่าวอ้างมากเพียงใดในละครเรื่องนั้น …จะต้องไม่มีปรากฏโลงศพอยู่บนเวที"
 
เรื่องราวที่เริ่มจะเร้นลับมากขึ้น ออกจากปากของรุ่นพี่คนนั้น
 
 
"แต่แล้วด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โลงศพก็ถูกนำขึ้นมาบนเวที ตั้งแต่ละครเวทีเรื่องแรกที่เล่นในโรงละครแห่งนี้"
 
…รุ่นพี่คนนี้เป็นที่รู้จักกันในหมู่นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ เอกการแสดง แม้ว่าเขาจะจบไปแล้วหลายปีก็ตาม
 
 
"มันมีอาถรรพ์โรงละคร ที่ฝรั่งเขาเรียกกันว่า ผีเมอร์ฟี่ หรือถ้าเป็นทางนาฏศิลป์ไทย ก็กล่าวกันว่า เป็นยักษ์ที่มาแอบดูพระพิฆเนศร่ายรำ"
 
…วันนั้นเป็นวันบวงสรวงละครเวที ก่อนหน้าวันแสดงจริงหนึ่งสัปดาห์ และมีการไหว้เจ้าที่ในโรงละครแห่งนี้ด้วย
 
 
 
เรื่องราวทุกอย่างยังคงเป็นปริศนาต่อไป…
 
 
.
.
.
 
 
 
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป จนถึงวันแสดงจริง
 
…ผมยังคงทำตัวเป็นปกติกับโรงละครแห่งนี้
 
 
 
แม้ผมเองจะไม่ใช่เด็กการแสดง ไม่ใช่นิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ แต่ผมก็คุ้นเคยกับโรงละครแห่งนี้
 
…ผมเคยช่วยกำกับละครเวทีหนึ่งเรื่อง สมัยมัธยม และแสดงละครเวทีอีก 2 เรื่อง ที่มหาวิทยาลัย
 
…แต่ผมก็ยังไม่เคยแสดงละครเวทีที่นี่มาก่อน
 
…ผมก็ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร แต่ผมรู้สึกว่า ผมคุ้นเคยกับมันดี
 
 
.
.
.
 
 
การแสดงในวันที่ 2 เพื่อนผมคนหนึ่งซึ่งเล่นละครเวทีด้วยกัน บอกกับพวกเราหลังการแสดงในวันนั้นจบลง
 
"เราเห็น… เราเห็นเป็นเงาคนยืนอยู่หลังเสาด้านหลังเวที แล้วสักพักเงานั้นก็ชะโงกเปิดผ้าออกมา"
 
…เธอเล่า ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความกลัว
 
 
…เรื่องราวความเร้นลับที่เกิดขึ้นในโรงละครแห่งนี้ ถูกโจษจันเป็นอย่างมากในปีนี้
 
…เนื่องจากมีละครเวทีบางเรื่อง พบเจอกันเกือบทั้งโปรดัคชั่นเลยทีเดียว
 
 
.
.
.
 
 
ก่อนการแสดงทุกครั้ง ผมมักจะเดินออกไปเข้าห้องน้ำ
 
…และเมื่อคนดูเข้ามาในโรงละครแล้ว ผมจึงจะสามารถออกไปเข้าห้องน้ำได้ โดยไม่มีผู้ชมเห็น
 
…และทางออกนั้นจะต้องอ้อมออกไปด้านข้างซึ่งเป็นห้องเก็บของ
 
…เมื่อโรงละครปิดลง เพื่อรอการแสดงเริ่ม ผมก็จะเดินผ่านทางเดินนั้นไปห้องน้ำ
 
 
.
.
.
 
คุณเคยมีความรู้สึกเดียวกันมั้ย?
 
…บางที"ความอยากรู้" ก็มักจะชนะเราเสมอ
 
…หลายต่อหลายครั้งที่ผมภาวนาในใจ เมื่อเดินไปตามทางเดินมืดนั้น
 
…ผมภาวนาให้ "ความเร้นลับ" ประจักษ์เป็น "ความจริง"กับผมเสียที
 
 
.
.
.
 
 
 
…แต่มันก็ไม่เคยสำเร็จ…
 
 
 
 
 
 
 
จนกระทั่งวันหนึ่ง
 
 
 
.
.
.
 
 
 
 
เมื่อการแสดงรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้น
 
…ผมคิดในใจว่า อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้พูดมันออกไปก็ได้
 
…ผมไม่ได้ท้าทายนะ แต่ผมอยากรู้เกินกว่าจะห้ามใจไว้ได้
 
 
 
 
.
.
.
 
 
 
ผมมองไปยังเงาดำที่มุมในห้องเก็บของก่อนจะเอ่ยปากออกไปเบาๆ
 
 
"ถ้ามีตัวตนอยู่จริง …ก็แสดงให้เห็นหน่อยสิ"
 
 
ผมจ้องเงาดำนั่นไม่วางตา และรอคอยเวลาที่จะพิสูจน์
 
 
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
…แต่มันก็ยังไม่เกิดขึ้น…
 
 
 
 
.
.
.
 
 
ผมออกไปแสดงจนเสร็จ วันนี้เป็นรอบสุดท้าย…
 
…มีผู้ชมมากมายเดินเข้าออกไปโรงละคร มีการถ่ายรูป ร้องเพลง บูมคณะ อะไรหลายต่อหลายอย่างหลังการแสดง
 
…ผ่านไปราวๆหนึ่งชั่วโมง ผมก็เดินไปยังห้องแต่งหน้า เพื่อไปเปลี่ยนชุด และล้างเครื่องสำอาง
 
 
 
 
ผมล้างเครื่องสำอางเสร็จ เปลี่ยนชุด และเดินกลับมายังห้องแต่งหน้า เพื่อเก็บกระเป๋า
 
 
…โทรศัพท์มือถือของผมหายไปแล้ว!
 
 
 
…ผมถามน้องปี1ที่เป็นแบ็คเสตจ ที่ทุกวันเธอจะเก็บโทรศัพท์ไว้ให้ผม
 
…เธอบอกว่า วันนี้เธอไม่ได้เก็บไป…
 
 
 
ผม กับหลายๆคนพยายามจะหามัน โทร.เข้า
 
…แต่ก็พบว่า มันถูกปิดเครื่องไปแล้ว
 
…เพื่อนพี่น้องชาวการแสดง ประกาศว่าจะค้นกระเป๋าทุกคนที่ยังอยู่ในโรงละคร
 
…แต่ผมบอกว่า มันไม่ประโยชน์อะไรหรอก เพราะคนที่ขโมยไป คงไม่รออยู่หรอก
 
 
ผมเสียดายนะ …นี่คงเป็นอีกครั้งที่สิ่งที่ผมลงแรงเก็บเงินไปซื้อมันมา …ต้องหายไปเพราะความประมาทของผมเอง
 
 
โทร.ออกหาเธอครั้งสุดท้าย วันที่31/01/50 เวลา 17.18 น.
 
ส่งข้อความหาเธอครั้งสุดท้าย วันที่ 02/02/50 เวลา 22.38 น. รับข้อความจากเธอครั้งสุดท้าย วันเดียวกัน เวลา 23.09 น. 
.
.
.
 
 
 

"ผมแพ้แล้ว…"
 
 
ผมเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะที่กำลังเดินออกจากมหาวิทยาลัย
 
 
…ละครเพิ่งจะปิดฉากลง…
 
 
.
.
.
 
ผมเคยพยายามท้าทายอำนาจสิ่งเร้นลับ พยายามเอาชนะความกลัวในจิตใจ
 
 
…แต่วันนี้ผมแพ้แล้วจริงๆ…
 
 
 
.
.
.
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เพราะบางครั้ง สิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์นี่แหละ …ที่น่ากลัวกว่าผีเสียอีก
 
 
 
 
 
 
ปล.ถึงเด็กการแสดง และนิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์ทุกคน
 
ขอโทษด้วยที่อาจจะพาดพิงคนหมู่มาก ที่ใครหลายคนอาจจะเข้าใจผิด
 
แต่ผมขอยืนยันว่า เด็กการแสดง และนิสิตคณะศิลปกรรมศาสตร์เป็นคนน่ารัก …ผมขอยืนยันจริงๆ
 
…เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมไม่โทษพวกเขา
 
…ผมไม่ใช่เด็กการแสดง แต่มาช่วยเล่นละครเวทีให้พวกเขา แต่โทรศัพท์ผมกลับถูกขโมย…
 
…นั่นคงเป็นความรู้สึกอึดอัดในใจที่พวกเขาหลายคนคิด และพยายามแสดงออก
 
…ผมเข้าใจพวกเขาดี …และรู้ว่า พวกเขาเป็นคนดีจริงๆ
 
 
 
 
เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก หากผมไม่ประมาทเอง…
 
 
 
.
.
.
 
 
ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ช่วยหาจนถึงวินาทีสุดท้าย…
 
 
.
.
.
 
หากทุกคนอ่านเรื่องนี้ด้วยความเข้าใจจริงๆ พวกคุณจะรู้ว่า พวกเขาเป็นคนดีจริงๆ
 
 
…และผมขอยอมแพ้กับเธอคนนั้น
 
…ผมคิดไว้แล้วว่า เธอคงไม่มาดูละครของผมแน่ๆ และมันก็เป็นจริง
 
แม้ผมจะหวังไว้ในใจลึกๆเพียงใด แต่สุดท้าย ผมก็พ่ายแพ้ต่อความเป็นจริง
 
…เธอไม่เคยสนใจผมเลย…

7 thoughts on “I’m A Loser ! – ในที่สุด…ผมก็แพ้

  1. [=Karikuz=]

    อ่า น่ากัวกว่าสิ่งที่มองไม่เหน ก้อคือสิ่งที่เรามองเหน
    เซื่อในสิ่งที่เฮ้ด เฮ้ดในสิ่งที่เซื่อ

  2. Tame

    เสียใจด้วยว่ะ
     
    แต่กูว่า มันเป็นเพราะ Nokia มึงมาจากญี่ปุ่น!!!!!

  3. MoOMui

    น่าเห็นใจจริงๆนะเนี่ย พี่นุ้ย เอาน่า ถือว่าฟาดเคราะห์อาจจะไม่ต้องเจอกับเรื่องร้ายๆก็เป็นไปได้น้า
    มองโลกในแง่ดีไว้แล้วกัน ยังไง พี่นุ้ย ก็ยังมี เรื่องดี-ดี อยู่อีกไม่ใช่เหรอ

  4. สุพิชญาณ์

    เอาหน่า อย่างน้อยนี่ก็เป็นบทเรียนอีกบทหนึ่งแล้วกันนะพี่
     
    ช่วงนี้เหนื่อย+เครียดมากมาย
     
    รักษาสุถขภาพตัวเองด้วยนะค่ะพี่ชาย
     
    คิดถึง…….

  5. Lalana

    เสียจัยด้วยนะ ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะอะไรก็ตาม   พี่นุ้ยก็ผ่านมันมาได้…มองโลกในแง่ดีไว้
    เด๋วมันก็จะดีเองนะ  ยิ้ม-ยิ้มน่า

  6. ถ้ายังรู้สึกเจ็บปวดแสดงว่ายังมีชีวิตอยู่

    เสียใจด้วยนะจำได้ปะใคร หายไปเลยไม่ติดต่อเลยนะเกือบ 2 ปีแล้วมั้ง พี่มาย จากyahoo.co.th ไง ตามหาจนเจอเลยนะ anapatchai ไง

  7. ถ้ายังรู้สึกเจ็บปวดแสดงว่ายังมีชีวิตอยู่

    ไม่รู้ใช่มุ้ยที่เคยติดต่อกันปะ เราพี่มายจาก yahoo

Leave a comment