อโรคยา ปรมาลงพุง

ผมเชื่อว่า การลดน้ำหนักน่าจะเป็น New Year’s Resolutions ยอดนิยมติดอันดับ 1 ใน 3 ของผู้คนทั่วโลก

และผมคิดเอาเองว่า เหตุผลที่คนต้องการลดน้ำหนัก ส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่เรื่องรูปร่าง ก็เรื่องสุขภาพ

ตอนนี้ผมกำลังโดนทั้ง 2 เหตุผลรุมเร้าเข้าพร้อมๆกัน

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมไปซื้อกางเกงยีนส์ใหม่มา 1 หนึ่งเซ็ท ซึ่งปรากฏว่ามันก็เป็นกางเกงแบบเดิมๆที่ผมเคยซื้อมาใส่ กางเกงที่ผมเห็นว่าสวยๆ ไม่มีไซส์สำหรับคนร่างใหญ่เกินไปอย่างผม

แต่เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้ผมต้องทบทวนเรื่องลดน้ำหนักอย่างจริงจังก็คือ ปัญหาเรื่องสุขภาพ

เมื่อราว 6 ปีก่อน ผมเคยมีปัญหาปวดหลังอย่างรุนแรง ขนาดที่ต้องเข้าโรงพยาบาลไปหาหมอ จนหมอสั่งให้พักฟื้น และทานยา พร้อมจัดท่านอนให้ถูกต้องอยู่เป็นสัปดาห์ถึงหาย ซึ่งครั้งนั้นเกิดจากการยกของหนักมากเกินไป

ครั้งนี้แตกต่างกัน ผมเริ่มปวดหลังเล็กน้อยมา 2-3 วัน ก่อนที่จะปวดค่อนข้างรุนแรงเมื่อวานนี้เอง

แต่ครั้งนี้ผมไม่ได้ยกของหนัก ไม่ได้นอนท่าพิศดาร เมื่อพิจารณาแล้วจึงค่อนข้างมั่นใจน่าจะว่าเกิดจากน้ำหนักของตัวเอง

ตั้งแต่ช่วงสิ้นปี น้ำหนักของผมค่อยๆแกว่งขึ้นเล็กน้อย ในช่วงที่มันแกว่งอยู่เป็นประจำ (110-115 kg.) จนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง ที่ผมกลับไปชั่งแล้วพบว่าตัวเองหนักถึง 117 kg. ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน พร้อมๆกับที่ผมเริ่มสังเกตตัวเองว่า พุงนั้นมันใหญ่เกินขนาดปกติขึ้นมา จนเป็นก้อนไขมันแข็งๆใหญ่ๆอย่างประหลาด

และนั่นน่าจะเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง อันเนื่องมาจากแบกน้ำหนักส่วนเกินไว้ด้านหน้า

ตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงตอนนี้ ผมค่อยๆออกกำลังกายเบาๆเพื่อยืดกล้ามเนื้อส่วนหลัง (เพราะคิดว่าน่าจะแบกน้ำหนักไว้นานจนกล้ามเนื้อยึด และอักเสบ) พอได้ยืดหยุ่นมากขึ้น แม้จะเจ็บและหายใจลำบาก แต่ก็ดีขึ้นเล็กน้อย ยิ่งหลังจากที่วันนี้ลองออกกำลังกายเบาๆแบบต่อเนื่องกว่า 15 นาทีก็พบว่า อาการเกร็งของหลังลดลง และตอนนี้สามารถนอนพลิกตัวไปมาได้สบายขึ้น

สุดสัปดาห์นี้ ผมกำลังจะเริ่มโปรเจ็คท์งานที่ยาวนานเกือบ 3 เดือน และมันจะหนักหนาสาหัสมาก หากร่างกายไม่พร้อม

สิ่งที่ผมต้องทำตอนนี้คือ เริ่มฝึกวินัยการออกกำลังกายให้กับตัวเอง ลดกาแฟ(ฮือ) ลดน้ำอัดลม(ฮือ) ทานอาหารค่ำให้เร็วขึ้น และพักผ่อนให้เพียงพอ

สุดท้ายเมื่อร่างกายกำลังจะเล่นงานเราจริงๆแล้ว เราควรเล่นงานตัวเองเสียก่อน เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับร่างกายตัวเอง

เอาล่ะ … วันนี้พอแค่นี้ก่อน ไปพักผ่อนละนะ!

เที่ยวเมืองไทย…ไม่ไป…ไม่รู้

วันนี้เจอเหตุการณ์ที่อยากบันทึกไว้ จะแชร์ facebook / instagram / twitter ก็ดูจะไปยาว มาเล่าในนี้ละกัน .. เริ่ม!

ตามธรรมเนียมปฏิบัติของทุกออฟฟิศ ทุกปีก็ต้องมีงานเลี้ยงปีใหม่เป็นเรื่องปกติ มนุษย์เงินเดือนในบริษัทเล็กๆอย่างผมก็ผ่านงานปีใหม่แบบไต่ระดับมาหลายรูปแบบ ทั้งพาไปร้านอาหารปกติ,ปิดห้องคาราโอเกะ หรือจัดทริปไปเที่ยวต่างจังหวัด(ช่วง2ปีก่อน กิจการที่ออฟฟิศดี)

แม้ปีนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี แต่เจ้านายก็ไม่อยากให้ลูกน้องรู้สึกไม่ดี ก็เลยคิดว่า งั้นเลือกกึ่งกินอาหารกึ่งเที่ยวละกัน ด้วยการลงเอยที่ล่องเรือชมเจ้าพระยาทานบุฟเฟ่ต์นานาชาติ

บอกตรงๆว่าผมเคยล่องเรือมา 3-4 ครั้งแล้ว ตั้งแต่สมัยไปรับจ็อบช่วงเรียนมหา’ลัยจัดงานเลี้ยงให้ลูกค้า หรือตอนเจ้านายเก่าได้บัตรฟรีจากการไปช่วยถ่ายรายการท่องเที่ยว จนได้กินติดๆกัน 2-3 ครั้ง

เอาตรงๆว่าผมหมดความตื่นเต้นไปแล้ว และลืมไปแล้วว่าแม่งมีอะไรน่าสนใจ

ถ้าอยากชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยา พี่นั่งเรือโดยสารเงียบๆไปจะประหยัดกว่า เพราะเอาจริงๆแล้ว ไอ้เรือบุฟเฟ่ต์นี่ ถ้าคุณไม่ได้ที่นั่งริมแล้ว สุดท้ายความสนใจคุณก็พุ่งไปที่แค่อาหารนั่นแหละ (อันนี้เอาตัวเองเป็นที่ตั้งสุดๆ)

แต่กลับมาคราวนี้เรือบุฟเฟ่ต์ทำให้ผมตกตะลึงตั้งแต่ระหว่างเรือกำลังเทียบท่า เหล่าพนักงานเสิร์ฟก็ออกมายืนบนดาดฟ้าเรียงหน้ากระดาน พร้อมเสียงประกาศต้อนรับนักท่องเที่ยว ก่อนที่เสียงดนตรีไทยจะดังกระหึ่มขึ้น พร้อมกับเหล่าพนักงานที่ฟ้อนกันอย่างพร้อมเพรียง

เชี่ย…. ใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่ามาก นักท่องเที่ยวที่ยืนรอค่อยๆเข้าเทียบท่านี่กระหน่ำชัตเตอร์กันไม่ยั้ง ต่อให้เรือจะเลท จะช้า จะเทียบท่านานก็ไม่สนใจอะไรแล้ว

หมดความตื่นตะลึงแรกแล้ว อย่างอื่นก็ดูคล้ายบรรยากาศเดิมๆ เปิดด้วยโชว์รำไทย ก่อนจะเปิดไลน์บุฟเฟ่ต์อย่างเป็นทางการ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญอย่างข้าพเจ้า เป็นคนแรกที่กลับมาที่โต๊ะพร้อมด้วยอาหารดีๆเด็ดๆเต็มจาน ก่อนจะรอคนซาแล้วค่อยไปตอดอย่างอื่นเติมให้อิ่ม

นี่แหละข้อดีของคนเคยมาแล้ว

แต่นอกนั้นก็ดูเดิมๆไม่มีอะไรใหม่ เป็นนักร้องเพลงสากลมาเอาใจนักท่องเที่ยวต่างชาติสลับกันไปทั้งชายหญิง

พอท้องเริ่มอิ่มแล้ว ผมถึงเริ่มสำรวจว่านอกจากกรุ๊ปบริษัทเราแล้ว มีคนไทยมาทานกันน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นพี่จีนครึ่งนึง และฝรั่งกับแขกรวมกันอีกครึ่ง

เรื่องที่อยากจะบันทึกไว้จริงๆ(แล้วที่มึงเล่าตั้งนานนี่ละ!)เกิดขึ้นในช่วงท้ายๆของหลังทุกคนทานอิ่มและไลน์บุฟเฟ่ต์ปิดแล้ว

ตอนนี้ทางเดินบนเรือกลายเป็นแดนซ์ฟลอร์ที่พวกพี่จีนและฝรั่งทะยอยกันมาโชว์สเต๊ปจนเกือบเต็มทางเดิน

จุดพีคมันอยู่ที่เหล่าพนักงานสาวในชุดไทย ที่เราเห็นรำกันชดช้อยอยู่ไกลๆตอนเรือเทียบท่า พวกเธอมาเสิร์ฟน้ำระหว่างทานข้าว พอเริ่มมาเก็บจานข้าวก็เริ่มชวนคุยยิ้มแย้ม ผงกหัวตามจังหวะดนตรีพองาม…

แต่พอแดนซ์ฟลอร์เปิดแบบจริงจัง พวกเธอไปลุกขึ้นมาชวนพี่จีนและฝรั่งแดนซ์กันกระจาย
น้องคนนึงถือแทรมโพลีนมาเคาะๆอยู่ตรงหัวโต๊ะผม ก่อนจะลากน้องคนนึงในออฟฟิศไปดวลสเต๊ปกันกลางฟลอร์ในชุดไทยสไบเฉียง!

เชี่ยยยยยย…พั้งค์ว่ะ!!!

ผมติดตามการออกสเต๊ปของนางๆไปเรื่อยๆ น้องผมยอมแพ้กลับมานั่งแล้ว พวกนางก็ยังคงชวนพี่จีนเต้นต่อไปเรื่อยๆ(ในชุดไทยสไบเฉียง) บางเพลงนี่เหมือนนัดแนะกันมา เกาะกลุ่มเรียงหน้ากระดานเต้นประหนึ่งหางเครื่องหญิงลีก็ไม่ปาน

ที่ฟินสุดๆของผมก็คือ ตอนเรือกำลังจะเข้าเทียบท่า หลังจบเพลงสากลเพลงสุดท้าย นักดนตรีก็บรรเลงค้างคาวกินกล้วย แล้วพวกนางก็นำขบวนนักท่องเที่ยวฟ้อนกันหน้าตาเฉย…

เชี่ย!!!! พั้งค์สัสๆๆๆๆๆๆ

ใจนึงผมก็กลับมาคิดว่า สุดท้ายแล้วการทำแบบนี้มันทำให้การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์มันเสียไปหรือเปล่า

สุดท้ายแล้วนักท่องเที่ยวได้อะไรกลับไป?
วิวแม่น้ำเจ้าพระยา? (มืดชิบ ถ่ายรูปยาก)
ดื่มด่ำกับอาหาร? (บุฟเฟ่ต์นานาชาติ มีอาหารไทยอยู่แค่ 4-5 อย่าง)
ซาบซึ้งในวัฒนธรรม? (ถ้าไม่นับเพลงเปิดกับเพลงปิด บนเรือนี่มีแต่เพลงสากลล้วนๆ)

ในขณะที่ผมคิด ผมก็ได้เห็นแววตาของน้องพนักงานเสิร์ฟโต๊ะผม(ที่มาลากน้องผมไปเต้นนั่นแหละ)

ผมเชื่อในแววตาที่ผมเห็นว่า เธอคิดจริงๆว่าเธอกำลังทำให้คนอื่นมีความสุข
และการสร้างความสุขคืออาชีพของเธอ และเธอก็เป็นมืออาชีพเพียงำแ

ผมลองคิดว่า ถ้านี่คืออาชีพที่ทำให้เธอมีรายได้ เลี้ยงดูพ่อแม่พี่น้อง และเธอภาคภูมิใจที่จะทำมัน เธอก็คือคนทำงานมืออาชีพคนนึงนี่แหละ

ผมไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวจะได้อะไรกลับไปมั้ย แต่ผมคิดว่าในภาคธุรกิจการท่องเที่ยว เรามีคนทำงานมืออาชีพที่กำลังต่อสู้ชีวิตอยู่อีกมากมาย และถ้าเราไม่โลกสวยเกินไป บางครั้งพวกเขาก็ต้องการแค่สู้ชีวิตให้อยู่รอดไปได้

ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้จะมีสักกี่คนที่ใจสู้ และยิ้มสู้ผ่านมันไปได้

แต่อย่างน้อยการแสดงพั้งก์ๆในชุดไทยสไบเฉียงของพวกเธอหลายคนก็ปลุกให้คนไทยแบบผมยังอยากสู้ชีวิตต่อได้

ต่อให้ชีวิตมันจะพั้งก์ หรือจะพังสักแค่ไหนก็ตาม

image

New Year Resolutions 2016

ณ ขณะนี้ที่กำลังพิมพ์เรื่องนี้อยู่ ก็ก้าวเข้าสู่วันที่ 3 ของปี 2016 ไปแล้ว

เมื่อนาทีที่แล้ว ความคิดแวบเข้ามาในหัวว่า พรุ่งนี้ควรเขียน New Year Resolutions ซะที
แล้วอีกความคิดก็แวบเข้ามาว่า มึงโหลดแอพไว้ในโทรศัพท์แล้วนิ ทำคืนนี้เลยสิว่ะ

เอาไงก็เอากัน New Year Resolutions ของข้าพเจ้าประจำปีนี้ได้แก่

1.อ่านหนังสือให้ได้ 18 เล่ม
2.ลดน้ำหนักให้ถึง 110 kg. ให้ได้
3.เดินทางไปต่างประเทศ
4.ทบทวนและเพิ่มเติมความรู้ภาษาอังกฤษอีกรอบ พยายามไปสอบวัดทักษะอะไรก็ได้สักหนึ่งครั้ง
5.เขียนบล็อกทุกเดือน เพื่อทบทวนความคิดตัวเอง ฝึกฝนการเล่า การเรียบเรียง เสริมสร้างจินตนาการ

เอาประมาณนี้ก่อนแล้วตั้งใจทำให้ได้ เหมือนที่สัญญากับตัวเองไว้แล้ว

สู้ๆนะ!